วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

ดูเหมือนแพ้...แต่ว่ากำนันชนะ!

อืมมมม...จะช้า-จะเร็ว กองกำลังทราบฝ่าย-ทราบสีในคราบ "กองโจร-ลอบกัด" มันต้องโผล่....... แล้วมันก็โผล่จริงๆ! เป็นการโผล่ด้วยท่วงทำนอง "ชายชุดดำ" สไนเปอร์ "พลเอกร่มเกล้า" และทหารอีกหลายนายที่สี่แยกคอกวัว ตอนหัวค่ำของวันที่ ๑๐ เม.ย.๕๓ ผิดกันเพียง วัน-เวลา-สถานที่เท่านั้น เพราะครั้งนี้ เป็นเวลาบ่ายโมง ของวันที่ ๑๗ ม.ค.๕๗ ที่ถนนบรรทัดทอง แยกเจริญผล บริเวณอาคารร้างหลังสนามศุภชลาศัย เป้าหมายของมัน...... เปลี่ยนจากสไนเปอร์ทหาร เป็นโยนระเบิดสังหารมวลมหาประชาชน ...........และกำนันสุเทพ! มวลมหาประชาชนกว่า ๓๐ คน เป็นเหยื่อระเบิดแทนกำนัน ทั้งเจ็บ ทั้งปางตายจมเลือด ไม่ต่างสมรภูมิสนามไทย-ญี่ปุ่นที่เราสูญเสีย "วสุ สุฉันทบุตร" วันนั้น ท่านคงทราบรายละเอียดเหตุการณ์กันแล้ว ดังนั้น ไม่ต้องถาม เป็นการลอบกัดจากใคร...พวกไหน? มันโหด เหี้ย อำมหิต เจตนาโยนระเบิดฆ่ามหาประชาชนไม่เลือกหน้า ผิดวิสัยมนุษย์ไทยจะทำไทยด้วยกันแบบนี้-ขนาดนี้ โกรธได้ แค้นได้ พี่น้องมวลมหาประชาชนเอ๋ย...! แต่จงอย่าอาฆาต อย่าให้จิตพยาบาททำลายแนวทาง ตบะ-สันติ-อหิงสา อันเราทั้งหลาย "มวลมหาประชาชน" อดทน-อดกลั้น ฝ่าฟันมาดีแล้ว "ล้างโจรระบอบทักษิณ" คืนสังคมธรรมให้ประเทศ เป็นการทำหน้าที่สร้างคุณยิ่งใหญ่ กอบกู้บ้านเมืองตามรัฐธรรมนูญบัญญัติ เราใกล้มาถึงจุดชัยร่วมกันแล้ว โลกทั้งโลก...กำลังจ้องมองวิถีมวลมหาประชาชน "สร้างทฤษฎีประชาธิปไตยใหม่" ให้โลก ด้วยสองมือเปล่าอยู่ ฉะนั้น เราอย่าปล่อยให้มัน...คือมาร พบความสำเร็จ ด้วยการยอมให้มันทำลาย ตบะ-สันติ-อหิงสา พวกเรา "มวลมหาประชาชน" แตก ถ้าเราทั้งหลาย ทั้งมวลมหาประชาชน ทั้งกำนันสุเทพ ทั้งคณะกรรมการ กปปส. "สติหลุด" แพ้ต่อการทำลายตบะ-สันติ-อหิงสา งานใหญ่...คืองานกอบกู้สังคมชาติให้แผ่นดิน ล้างระบอบทักษิณ ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกไป จัดระเบียบสังคมประชาธิปไตย นำประเทศสู่ศตวรรษใหม่ ด้วยชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเศรษฐกิจพอเพียง ที่เราเพียรสร้าง ร่วมกันถากถางทางมาดีแล้ว ก็จะล่มสลาย.... นับจากนี้ไป ประเทศไทยในความหมาย ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะไม่เหลือแล้ว! เพราะเมื่อถลำลงไปเล่นบท "เลือดล้างเลือด" อาวุธต่ออาวุธ โหดต่อโหด เหี้ยต่อเหี้ย อำมหิตต่ออำมหิต และด้วยอาวุธต่ออาวุธ ฆ่าต่อฆ่านั้น ท่านทั้งหลายลองตอบซิ ฝ่ายฆ่า...ภายใต้ผู้มีอำนาจกฎหมายในมืออุปถัมภ์ กับฝ่ายเรา...ภายใต้มวลมหาประชาชนมือเปล่า-ตีนเปล่าอุปถัมภ์กันเอง ใครได้เปรียบใคร? การรบในสถานการณ์ที่รู้ว่าไม่ชนะในสัประยุทธ์นี้ เราไม่ถอย แต่ต้องเลี่ยงปะทะกฎหมายอุปถัมภ์ ต้องจำให้แน่น งานใหญ่เพื่อสังคมชาติ ไม่จำเป็นต้องโต้ ทุกเม็ด ทุกดอก สันติ-อหิงสา นั้น เปรียบเหมือนยาหม้อ-ยาต้ม ยาหม้อ ไม่ใช่ยาระงับอาการ แต่เป็นยารักษาถึงสมุฏฐานโรค ดังนั้น ต้องต้ม ต้องเคี่ยว ต้องกินหลายหม้อ เรียกว่า ต้องอดทน อดกลั้น ใช้เวลานานหน่อย แต่ว่าหายขาด ชนิด "ตัดราก-ถอนโคนโรค"! การใช้กำลังต่อกำลัง อาวุธต่ออาวุธ เถื่อนต่อเถื่อน มันเหมือนยาฉีด ฉีดปุ๊บ-หายปั๊บ แต่หายพักเดียวอาการเก่าจะกลับ เพราะยาฉีดเป็นยาระงับอาการโรค ไม่ใช่ยารักษาสมุฏฐาน ตัดราก-ถอนโคนโรค! ที่กองกำลังทราบฝ่าย เหิมเกริมถึงขั้นลงมือกลางวัน-กลางเมือง โดยรัฐบาล โดย ศอ.รส.คล้ายสะใจมากกว่าเสียใจในเหตุที่เกิดนั้น มวลมหาประชาชนจงเข้าใจเถิด การลอบฆ่า การปาระเบิด ทั้งกลางวัน-กลางคืนต่อเนื่องนั้น ไม่ใช่สัญญาณระบอบทักษิณได้เปรียบ ตรงกันข้าม....นั่นคือสัญญาณยิ่งลักษณ์แพ้แน่ การลอบกัดนี้ เป็นยุทธวิธี "สู้พลาง-ถอยพลาง" ของกองทัพที่พ่าย เรียกกันว่าถอยฉะ! เหมือนมวยสิ้นสภาพยกสุดท้าย จะใช้ทุกรูปแบบเพื่อพยุงตัวรอด ทั้งหวังฟลุก ชนะแตก-ชนะน็อก-ชนะฟาวล์ เมื่อไม่เห็นทางรอดแน่ๆ ต้องระวังลูกไมค์ ไทสัน เข้ากอดแล้ว "กัดหู"? ทุกคำตอบของกองกำลังเถื่อน ที่ทำกับเวทีแจ้งวัฒนะ เวทีลาดพร้าว เวที คปท.และกับกำนันขณะนำมวลมหาประชาชนเดินบ่ายวานนี้ ที่แยกเจริญผล คำถามที่ว่า เป็นพวกไหน ใคร มาจากไหน คำตอบก็อยู่ที่ปฏิบัติการ โดยรัฐบาล โดยตำรวจ ไม่แสดงความรับผิดชอบ ทั้งป้องกัน ทั้งปราบปราม เอะอะ..บอก "มือที่สาม" ทุกอย่างก็จบ ถนนบรรทัดทอง เป็นใจกลางกรุงเทพมหานคร..... แล้วใครล่ะ...สามารถขนอาวุธร้ายน้องๆ "คลังแสง" เข้าไปซุ่มดักสังหารกำนันสุเทพและมวลมหาประชาชนในอาคารร้างนั้นได้กลางวันแสกๆ โดยไม่มีใครรู้เห็น....! ในขณะรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ตั้ง ศอ.รส.เกณฑ์ตำรวจทั่วประเทศนับแสนนายเข้าคุมความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน อาวุธเป็นคลังแสง ที่ถนนบรรทัดทองเมื่อวาน (๑๗ ม.ค.) กับอาวุธเป็นคลังแสงที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ๒๖ ธันวา เป็นของใคร เล็ดลอดสายตาตำรวจ และ ศอ.สร.เข้ามาได้อย่างไร ไม่มีคำตอบจากรัฐบาล? มีแต่....ความจริงประจักษ์ว่า อาวุธนั้นใช้ฆ่ามวลมหาประชาชน โดยไม่เกี่ยงวิธีการ รูปแบบ และเป้าหมาย หวังประสงค์ผลอย่างเดียว คือให้พี่น้องมวลมหาประชาชนที่ขวางระบอบทักษิณ ล้มสถาบัน-โกงบ้าน-กินเมือง เจ็บ ตาย พ่ายเตลิด สถานเดียว! ตรงอาคารร้างที่กองโจรทราบฝ่ายขนนานาอาวุธขึ้นไปนั่งห้างคอยสังหารมหาประชาชนนั้น ร้างแต่คำว่า "อาคารร้าง"! แต่ข้างหน้า ตลอด ๒๔ ชั่วโมง จะมีแท็กซี่สีชมพูเวียนจอดนับเป็นสิบ-เป็นร้อยคันทั้งวัน ถ้าจริงใจต่อการสืบหาขบวนการสไนเปอร์ครั้งนี้ คนขับแท็กซี่สีชมพูและเจ้าของอู่ ต้องเรียกว่า "พยานปากเอก"! อาคารที่ใช้ซุ่มนั้น ข้างหน้าล้อมรั้วสังกะสี ด้านหลังเปิดโล่งเข้าสนามศุภฯ ได้ ขณะการ์ดรื้อรั้วเพื่อเข้าไปค้นหาตัวมือระเบิดในอาคาร ด้วยความเป็นกลางวัน และด้วยหูตาประชาชนเป็นหมื่น-เป็นแสน ถ้าสอบสวน-สืบสวนเพื่อหวังจับจริง เป็นไปไม่ได้ที่คนร้ายกระทำการลักษณะ สวมเสื้อแดง สั่นกระดิ่ง แล้วฆ่าคนกลางวัน จะเกาไข่ ลอยนวล อวดยิ่งลักษณ์ อวดตำรวจ อวด ศอ.รส.หายตัวไปได้! ทั้งหมดนี้ เป็นอาการ "มวยสิ้นสภาพ" รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นับวันเหลือแค่ตำรวจ ๔-๕ นายรายล้อม แซมทหารปลัด กห.ส่วนข้าราชการแต่ละกระทรวง เริ่มร่วมมวลมหาประชาชน ผู้มีอำนาจบริหารตอนนี้คือ กกต.ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์ ที่ทั้งคุก ทั้งนรก ทั้งชาวนาที่ถูกโกงค่าข้าว กำลังไล่ล่า! การใช้กฎหมายรับใช้ยิ่งลักษณ์ แต่ไล่บี้มวลมหาประชาชนของตำรวจเวลานี้ มันเป็นภาพที่ทหาร คือกองทัพ "ทนไม่ได้" ที่มหาประชาชนถูกกระทำ-ถูกรังแก ผมจึงขอยืนยันเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ไม่มีปฏิวัติ-รัฐประหาร "ล้านเปอร์เซ็นต์" มีแต่มหาประชาชนปฏิวัติ "สำเร็จ" ตามกรอบประชาธิปไตย โดยทหารไม่ยุ่ง แต่จะไม่ปล่อยให้รัฐบาลเถื่อน-กองกำลังทราบฝ่าย ขัดขวางทำร้ายมวลมหาประชาชน สูตร "สันติ-อหิงสา" ที่กำนันสุเทพใช้นำมวลมหาประชาชน กับสูตร "มะม่วงหล่น" ของธีรยุทธ บุญมี เพียงต่างชื่อ ต่างมรรคา แต่ว่า "ล้างโคตรทักษิณ" สูตรเดียวกัน!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น