วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

2557 Count Down "ระบอบทักษิณ"

2557 Count Down "ระบอบทักษิณ" เดือนในปฏิทินวนรอบ มกราคมเป็นจุดนับหนึ่งแห่งเดือนใหม่ วันยังคงเดิม มีอีก 365 วันให้เผชิญ เปลี่ยนแต่เลข พ.ศ.2557 ก้าวสู่ปีใหม่อีกปี แต่สำหรับสถานการณ์การเมือง คงเป็นอีกปีใน ‘สงครามตัวแทน’ ยังต้องดำเนินการต่อพร้อมกับเพิ่มดีกรีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตามพลวัตของโลก ทุกสิ่งอย่างเมื่อเริ่มแล้วย่อมมีจบ ไม่มีใครจะนิจนิรันดร์ได้ตลอดกาล ยิ่งเป็นพวกนิยมในโลกโลกีย์ อำนาจ บารมี เงินตรา สร้างอกุศกรรม ก่ออนันตริยกรรมไว้มาก คงจะหลีกหนีหลัก ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป’ ไม่พ้น คงจะหลีกหนีความจริงข้อนี้ไม่พ้น ไม่ว่าคนคนนั้นจะรวยล้นฟ้า อำนาจ บารมี เงินตรา พวกพ้อง ข้าทาสบริวาร ยังเลือกที่จะสะกดคำว่า ‘พอ’ ไม่เป็น ยังดิ้นรน ทุรนทุราย สู้ หวังการใหญ่ คงอีกไม่นาน อีกไม่นาน อีกไม่นาน…จริงๆ นับตั้งแต่ระบอบทักษิณ โดยทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองและแทบทุกบริบทในสังคม ประชาธิปไตยถูกใช้เป็นเพียงวาทกรรม เครื่องบังหน้ากระบวนการได้มาซึ่งอำนาจ ประชาชนมีสิทธิ์เต็มขั้น ตอนลงคะแนนเสียงเพียง 4 วินาทีเท่านั้น เมื่อการเมืองได้อำนาจก็ใช้อำนาจนั้นไปในทางที่ปรารถนาโดยไม่ฟังเสียงท้วงติง ทั้งในหรือนอกสภาฯ ผูกขาดรวมศูนย์ ใช้หลากหลายวิธีให้ได้มาซึ่งเสียงข้างมาก เจรจาที่พร้อมใจ หรือเสนอเงื่อนไขอันปฏิเสธไม่ได้ ทำลายระบบ ระบอบโครงสร้างเดิมแทบหมดสิ้น องค์กรอิสระหลายแห่งถูกใช้เป็นเครื่องมือการเมืองเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ประเพณีปฏิบัติในหมู่ราชการถูกทำลายสิ้น ระบบอาวุโสถูกยกเลิก ระบบพวกพ้องทำงานสนองนายเข้ามาแทนที่ ตำรวจก็ถูกมองเป็นเครื่องมือชั้นดีให้นักการเมืองฝ่ายรัฐ ใครสนองงาน ทำได้ตามเป้า สนองงานการเมืองได้ดี โอกาสเจริญก้าวหน้าทางการงานในระบอบทักษิณก็มีสูง นโยบายประชานิยม ให้ปลาแทนให้เบ็ดประชาชน หลายโครงการเป็นการมอมเมาประชาชน ให้เสพติดค่านิยมแห่งความเคยชิน แต่ไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ในระยะยาว ซ้ำยังสร้างหนี้ผูกภาระให้ประเทศนับไม่ถ้วน นโยบาย การบริหารงานต่างๆ ถูกตั้งคำถามทั้งในแง่ความโปร่งใส จริยธรรม ศีลธรรม โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้พม่า การขายหุ้นชินคอร์ปอันลือลั่น โดยไม่เสียภาษี เพราะแก้กฎหมายไว้รองรับก่อนหน้า เรื่อยไปถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติด ถูกมองเป็นการฆ่าตัดตอนให้กลุ่มอิทธิพล เจ้าหน้าที่รัฐฉวยโอกาสกำจัดศัตรูทางการเมือง ผลประโยชน์ทั้งด้านธุรกิจมักถูกจัดสรรให้เฉพาะพรรคพวก ญาติมิตร เพื่อนฝูงตัวเอง เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนทางนโยบาย สร้างความเสียหายให้ประเทศ แม้เกิดช่วงสะดุดแห่งอำนาจ รัฐประหาร 19 กันยา 2549 แต่คนที่เข้ามาสานต่ออำนาจหลังจากรัฐบาลขิงแก่ ก็ยังวนเวียนในสารบบเดิมๆ นอมินี สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งแนวทาง แนวคิด นโยบาย ก็ยังสานต่อ ยังคงรูปแบบเดิมไม่ต่างจากสมัยพี่ชายครองอำนาจ และหนักขึ้นทุกวัน เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท โครงการพัฒนาระบบน้ำ 3.5 แสนล้าน รับจำนำข้าวกับตัวเลขปริศนา 6 แสนล้าน นิรโทษกรรมสุดซอย ฟอกผิดตัวเอง ล้วนเป็นเครื่องหมายคำถามทั้งในแง่ความโปร่งใส ความชอบธรรม ระบอบทักษิณยังคงเกาะลึก กลืนกินไปแทบทุกองคาพยพในสังคม กำจัดไม่หมดไม่สิ้น!! มวลมหาประชาชนที่ทนต่อพฤติกรรมสามานย์มาตั้งแต่ปี 2544 หมดความอดทน ม็อบประชาชนเคยออกมาขับไล่หลายครั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) สามารถขับไล่ทักษิณออกนอกประเทศได้ แต่ยังไม่สามารถถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณให้สิ้นซาก มวลมหาประชาชนในนามคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เข้ามารับไม้ต่อ การเคลื่อนไหวของประชาชน มวลชนปฏิวัติ พลันให้นึกถึง ‘อาหรับสปริง’ อาหรับสปริงที่ก่อตัวมาตั้งแต่ปี 2553 ‘ตูนิเซีย’ ประชาชนไม่ทนต่อการกดขี่ เอาเปรียบ พร้อมใจกันลุกฮือขับไล่ ซีน เอล อาบิดิน เบน อาลี ประธานาธิบดีตลอดกาล จนลงเก้าอี้ จากนั้นเริ่มลุกลามไปยังหลายประเทศในโลกอาหรับ ประชาชนอียิปต์พร้อมใจลุกฮือขับไล่ ‘ฮอสนี มูบารัก’ ประธานาธิบดีอียิปต์ ที่สุดท้ายก็ต้านพลังประชาชนไม่ไหว ต้องยอมลาออกจากตำแหน่ง ตามติดมาด้วย พ.อ.มุอัมมาร์ กัดดาฟี ประธานาธิบดีลิเบีย ผู้นำอันโด่งดัง ครองตำแหน่งแบบผูกขาด สร้างบาดแผลให้เพื่อนร่วมชาติทางการกระทำมาช้านาน ยังหนีไม่พ้นปรากฏการณ์ประชาชนลุกฮือโค่นล้ม กระทั่งจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เช่นเดียวกับ ‘อาลี อับดุลลาห์’ ประธานาธิบดีเยเมน ต้องยอมลงจากอำนาจ สละอำนาจให้รองประธานาธิบดี แลกกับการไม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ‘อาหรับสปริง โมเดล’ ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศพร้อมใจกันลุกฮือต่อต้าน ‘ผู้นำ’ ที่ผูกขาดในอำนาจ ทุจริตคอร์รัปชัน เอาเปรียบ กดขี่ประชาชนมาช้านาน เทคนิคในการเคลื่อนไหวอาหรับสปริงก็มีหลายรูปแบบ ทั้งการชุมนุมประท้วงตามท้องถนน สถานที่สำคัญหลายแห่ง การเดินขบวน การนัดหยุดงานควบคู่กับการแจ้งข่าวสาร เชิญคนมาประท้วง ประจานความชั่วร้ายของผู้นำผ่าน โซเชียลมีเดีย ชักชวน รณรงค์ ก่อให้เกิดแนวร่วมแผ่ขยายเป็นจำนวนมาก จากปรากฏการณ์ประชาชนลุกฮือในโมเดลอาหรับสปริงจะเห็นได้ว่า ไม่มีผู้นำสักรายรอดเงื้อมมือประชาชนไปได้เลย จุดจบแต่ละคน เบาสุดก็ลงจากตำแหน่ง เลวร้ายสุดที่นอกจากแผ่นดินตัวเองก็ไม่ได้อยู่แล้ว ซ้ำชีวิตก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ จะเห็นได้ว่า จุดจบผู้นำสามานย์แต่ละคน ยามประชาชนนับล้านลุกฮือกันมาขับไล่ จบไม่เคยสวยสักคน บางคนดีที่สละเพียงตำแหน่ง หมดอำนาจ แต่ยังเหลือเครือญาติ บางคนโชคร้าย อำนาจ ทรัพย์สินที่สร้างมาไม่เพียงรักษาไม่ได้ ชีวิตตัวเองก็ยังรักษาไม่รอด หลายคนพยายามเสนอทางออกให้ทักษิณ ทั้งการยอมรับกระบวนการยุติธรรม กลับมาสู้คดีติดคุก เหมือนเอกบุรุษโลก เนลสัน แมนเดลลา ผู้นำผิวสี กลับประเทศถูกจองจำกว่า 20 ปี แสดงสัญลักษณ์ให้ฝ่ายสนับสนุนได้เห็น สู้กับความอยุติธรรมจนได้ความเป็นธรรม ในที่สุดก็ได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีแห่งแอฟริกาใต้ แต่ทางสว่างกลับไม่เลือกเดิน ทักษิณกดปุ่มให้ยิ่งลักษณ์เดิน นับวันยิ่งถูกบีบให้ไปสู่ทางตัน การเปิดหน้าสู้แลกหมัด แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน พร้อมเผชิญหน้าทุกรูปแบบ ปากก็บอกอยากให้มีการเลือกตั้ง 2 ก.พ. แต่อีกด้านก็ปล่อยให้สมุนกล่าวโทษ กกต.ข่มขู่ให้จัดเลือกตั้งให้ได้ หวังใช้เป็นบันไดประทับตราแห่งความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ในวันที่ตัวช่วยทางการเมืองเริ่มไม่เหลือ ทั้งตำรวจ ข้าราชการที่พอจะใช้เป็นเครื่องไม้เครื่องมือได้เริ่มเกียร์ว่าง ล่าสุด ยิ่งลักษณ์ประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง หวังให้ทหารออกมาช่วยตำรวจในการควบคุมสถานการณ์ชัตดาวน์ กทม. วันที่ 13 ม.ค. แนวคิดประกาศเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากขุนพลสีเขียว บิ๊กเนมในกองทัพ ปากบอกเคารพสิทธิ เสรีภาพผู้มาชุมนุม แต่อีกด้านก็ขยิบตาให้สายเหยี่ยวใช้วิธีรุนแรงกับผู้ชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บ ล้มตายไปแล้วหลายราย และยังส่งสัญญาณให้แนวร่วมเสื้อแดงเคลื่อนไหวนอกสภาฯ ปลุกขวัญ ข่มขู่ เตรียมพร้อมนำมาสู่การเผชิญหน้า หวังลากยาวให้เกิดสงครามมวลชน หวังให้กองทัพเปลี่ยนใจมายืนอยู่ข้างประชาชน สถานการณ์เข้าตาจน ทำให้ "ระบอบทักษิณ" ต้องดิ้นสู้ทุกหนทาง ไม่เพียงต้องการรักษาอำนาจ เพราะในกลเกมนี้ พวกเหล่าขุนศึกรู้ดี หากแพ้นอกจากจะไม่มีที่ยืนทางการเมืองแล้วยังจะถูกเช็กบิลย้อนหลังในอีกหลายๆ เรื่อง จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกดปุ่มเดินหน้าสั่งการให้ทุกองคาพยพระบอบทักษิณสู้ไม่ถอย แต่ยิ่งสู้ยิ่งเป็นการบีบคั้นให้ฝ่ายมวลมหาประชาชนเพิ่มมาตรการ ยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ประวัติศาสตร์จารึกแล้ว ยามประชาชนออกมานับล้านพร้อมใจขับไล่ ไม่มีวันที่ระบอบสามานย์จะยืนหยัดได้ตลอดรอดฝั่ง 2557 คงเป็นปีสุดท้ายแห่งการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่เพียงขจัดขับไล่เชื้อชั่วแห่งความชั่วร้าย ยังต้องถอนรากถอนโคนให้หมดสิ้น!!!.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น