วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

เปลวสีสีเงิน

เมื่อยิ่งลักษณ์ยืนยัน การนำประเทศตัวเองไปด่าประจานให้คนอื่นฟังในเวทีโลก ด้วยข้อมูลที่บิดเบือนคือประชาธิปไตย ก็หมดประเด็นที่ต้องพูดกัน ยิ่งในนาม "คณะรัฐมนตรี" บอกว่า...นี่คือปาฐกถาที่สะท้อนความเป็นจริงของไทยครบถ้วน ถูกต้อง แหลมคม ทรงพลัง พร้อมทั้งให้นำปาฐกถานั้นเผยแพร่สู่ประชาชนให้กว้างขวาง ผมก็คงต้องบอกว่า
    "ขอบคุณครับ!"
    ที่ตบหน้าประเทศไทย-คนไทยได้ครบถ้วน-ถูกต้องที่สุด.....
    แหลมคมทิ่มฝ่าเท้าทะลุหัวใจ เจ็บปวดทรงพลังกว่าที่ครอบครัวผมได้รับที่สุด!!
    จะว่าไปแล้ว ลุ พ.ศ.นี้ ไม่มีอะไรในประเทศไทย ที่ทักษิณและ "ครอบครัวชินวัตร" ทำแล้วประชาชนหรือองค์กรไหนกล้าหือ แต่หื่นอาจมีบ้าง 
    ในเมื่อ สถาบันบริหาร-สถาบันรัฐสภา-ตำรวจ-ทหาร-ข้าราชการ-ครู-อาจารย์-มหาวิทยาลัย-อัยการ-บริหารท้องถิ่น-สื่อ กระทั่งวัด-พระ-แพะ บางคน-บางพวก....
    พร้อมเพื่อ "วงศ์ชินวัตร"!?
    ความจริงนายกฯ ยิ่งลักษณ์นอกจากใบหน้าหวานแล้ว ลูกตาทั้ง ๒ ข้างออกจะ "หวานจัด" เป็นพิเศษด้วย ก็เพิ่งสังเกตชัดๆ จากรูปที่ยืนปาฐกถาที่อูลาน-บาตอร์นี่แหละ หะแรกก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก จนเมื่อวาน จ้องดูตาดำตอนให้สัมภาษณ์นักข่าวในเรื่องเหล่านี้...
    อืมมมม..ตาสาวเจ้า "หวาน" จริงๆ ด้วย!
    แต่โบราณท่านไม่ให้เรียกว่า "หวาน" สำหรับผู้หญิง และก็ไม่ให้เรียกตาเข-ตาส่อน แต่ให้เรียกว่า ตาซื่อ-ตาใส เรียกกันไป-เรียกกันมา ลงตัวเป็น "สาวตาใสซื่อ" 
    เพราะสาวเจ้าตาใสซื่อนี่เอง การพูด-การทำ จึงซื่อใสมาตลอด กระทั่ง "อุจจารวาท" ที่อูลาน-บาตอร์ เธอซื่อใสแบบส่อนๆ ว่า...ความเจ็บปวดที่ครอบครัวดิฉันได้รับ จะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายของประเทศไทย!
    ในขณะที่ประชาชนคนไทยฟังแล้ว "ตาขุ่น-ตาขวาง" อยากตะโกนบอกเธอผ่านลำไส้ใหญ่ให้ไปก้องในทำเนียบฯ ว่า
    "การแยกแผ่นดิน-กินโกงแบบปล้นชาติ มุ่งล้มระบอบ-ล้มสถาบันของขบวนการทักษิณ นี่คือความเจ็บปวดที่ประชาชนได้รับ หวังว่านี่จะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายของประเทศไทย-คนไทย" 
    ตามตำรา "พิเคราะห์เนตรมหาบรรลัยจักร" มีอรรถาธิบายถึงลักษณะตาทุรลักษณ์และคุณลักษณ์ไว้มากมายหลายชนิด แต่ผมจำไม่หมด 
    จำได้แต่ฝอยโทษตาทุรลักษณ์ มีประมาณว่า คนคนนั้น ซ่อนเล่ห์ ซ่อนนัย ปากอย่างหนึ่ง-ใจอย่างหนึ่ง คบยาก เชื่อยาก เลี้ยงก็ไม่เชื่อง ชีวิตจะพลิกผัน เด้งขึ้น-ดันลง ด้วยอาณัติหัตถ์ดาวมฤตยู+เกตุ 
    ทำนองบางคนปากว่า...ไม่แก้แค้น-แต่แก้ไข แต่การกระทำกลับแก้อีกอย่าง เพื่ออีกอย่าง...ซะงั้น!
    แต่เอาหละ...ในเมื่อรัฐบาลระบอบทักษิณยกย่องว่า อุจจารวาทของยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ แหลมคม-ทรงพลัง ผมเชื่อเป็นกรณีพิเศษ คือเชื่อว่า ครั้งนี้...ยิ่งลักษณ์เอาความจริง จาก....
    "จิตสังหรณ์" มาพูด!?
    "จิตสังหรณ์" ที่มีความน่าจะเป็นชนิด "มา-ไป" แบบฉับพลัน ไม่มีสัญญาณล่วงหน้าให้ทันตั้งตัว ซึ่งนี่...มันจะเป็นความเจ็บปวด "ครั้งสุดท้าย" ของประเทศไทยแล้ว
     เพราะครอบครัวที่บิดเบือนประชาธิปไตยและเฉือนแทะประเทศ เดินทางใกล้ถึงจุดขีดเส้นใต้เป็น "หมายเหตุประเทศไทย" จะไม่เหลืออะไรและใครให้เป็นความเจ็บปวดอยู่ในแผ่นดินนี้อีก!
    The Longest Day ของทักษิณมาถึงแล้ว "พี่มากพระโขนง" สถิติสูงสุดประเทศไทย ยังไงๆให้ไม่เกิน ๘๐๐ ล้าน แต่วันเผด็จศึกของ "พี่แม้วจันทร์ส่องหล้า" ทลายสถิติโลก กู้ล้างประเทศ ๒ ล้านล้านบาท ฉะนั้น จะได้...ต้องเผด็จศึก!
    แนวรบเพื่อไทย...พร้อม
    แนวรบ นปช. ...พร้อม
    แนวรบรัฐสภา...พร้อม
    แนวรบทำเนียบฯ...พร้อม
    แนวรบไพร่ริมถนน...พร้อม
    แนวรบนอกประเทศ...พร้อม
    แนวรบมะเขือเทศ...พร้อม
    แนวรบแตงโม...พร้อม
    แนวรบโล้นเหลือง...พร้อม
    แนวรบสื่อทุกสาขา...พร้อม 
    แนวรบ'จารย์มหา'ลัย...พร้อม
    โอ้โห...พร้อมทุกแนวรบ ประเทศไทยและ "สถาบันตุลาการ" ตกอยู่ภายใต้วงล้อมกองทัพใต้ร่มธงทักษิณที่เกณฑ์ระดมมาจากทั่วทุกสารทิศ ตั้งค่ายตีโอบเป็นปีกอีแร้ง-หางเหี้ย แลไปทางไหนสุดลูกหู-ลูกตา ฝุ่นปลิวตลบคละคลุ้งทั้งวันคืนด้วยรี้พลสกลไกรเคลื่อนย้ายขยายขยับกันยังไม่สิ้น
    กองทัพเพื่อไทย "มติเป็นเอกฉันท์" ประกาศอิสรภาพ "ไม่อยู่ใต้อำนาจสถาบันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ" อีกต่อไป เย้ย....ศาลรัฐธรรมนูญ "ไม่มีอำนาจ" ที่พวกเขาจะต้องรับฟัง-รับปฏิบัติอีกไปแล้ว!
    ส่วนกองทัพ นปช.เสื้อแดง ส่งกำลังส่วนหนึ่งไปปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกองกำลังผสมจากแนวรบกเฬวรากบ้าง 'จาร์มหา'ลัยบ้าง โล้นเหลืองบ้าง สื่อวิทยุ-ดาวเทียมบ้าง ได้รับคำสั่งให้ตรึงไว้ ไล่ล่าตัวตุลาการไปก่อน
    ไว้รอสมทบ "กองทัพจากแนวรบใหญ่" ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงรอสัญญาณจากโคโมโดตัวการที่กำลังวางแผนให้เปิดรัฐสภาสมัยวิสามัญ "ดันกฎหมายล้างโทษ" ฉบับเบ็ดเสร็จ "พร้อมตะลุยแก้รัฐธรรมนูญชนิด...ให้ราบเป็นหน้ากลอง" ในเมื่อประกาศอิสรภาพจากอำนาจตุลาการแล้ว
    ก็ไม่ต้องกลัวใคร...กลัว "แม้ว-นายใหญ่" แต่ผู้เดียว! 
    "หน่วยกำลังรัฐ" บางส่วนพร้อมสวามิภักดิ์ ฝ่ายบู๊-ฝ่ายบุ๋น-ฝ่ายเช็ดไข่ ประจำการครบ เรื่องเสบียงกรังไม่ต้องพูดถึง ๓.๕ แสนล้าน ตุงกระเป๋าซ้าย ๒ ล้านล้านตุงกระเป๋าขวา ไม่นับเศษๆ เลี้ยงหมา จากงบซื้อข้าว งบต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ งบประจำปี
    แล้วยังที่บูรณาการไว้อีก ๓๐-๕๐% ล่ะ!?
    "โอยยยย...มันเป็นความเจ็บปวดที่ครอบครัวดิฉันได้รับสุดที่จะทนนิ่งโดยไม่เคลื่อนไหว 'ยึดไทยทั้งประเทศ' ไว้ทำมาหาแดกเลี้ยงครอบครัวได้เลย"
    เดิมพัน ๒ ล้านล้านมันลอยอยู่ตรงหน้า แค่เอื้อมมือคว้าก็เข้ากระเป๋าแล้ว ฉะนั้น จะอ้อยสร้อยต้อยติ่งเป็นตูดลิงเสนอีกต่อไปไม่ได้ จึงต้องเด็ดขาด-เผด็จศึก
    "ทุกแนวรบ" ต้องลุย รื้อ-ล้าง-โละ แนวรบด้านรัฐสภาและด้านทำเนียบฯ ต้องผนึก แล้วดัน "กฎหมายนิรโทษ" ให้ทักษิณกลับเข้ามา ก่อนกันยานี้ให้ได้  
    เพื่อนฝูงใน เพื่อไทย-นปช.-เสื้อแดงน่ะ...ทักษิณรักใคร่ทุกคน
    แต่กับเงิน ๒ ล้านล้านน่ะ....
    เรื่องรักใคร่เพื่อนฝูง ก็ส่วนรักใคร่ แต่เรื่องไว้ใจนั้น ตัวเอง....กับเงินตัวเองยังโกงเลย ฉะนั้น ขอไม่ไว้ใจใครดีกว่า เงินใหญ่ก้อนนี้ ได้มาจะยิ่งกว่า "พญามังกรเสียบปีก"!
    "แล้วมันจะเป็นความเจ็บปวดของครอบครัวดิฉันขนาดไหน.....ถ้าไม่ช่วยพี่ชาย 'ยึดประเทศไทย' ให้สำเร็จ?"

'ด้วยความเจ็บปวดครอบครัว'


   เมื่อยิ่งลักษณ์ยืนยัน การนำประเทศตัวเองไปด่าประจานให้คนอื่นฟังในเวทีโลก ด้วยข้อมูลที่บิดเบือนคือประชาธิปไตย ก็หมดประเด็นที่ต้องพูดกัน ยิ่งในนาม "คณะรัฐมนตรี" บอกว่า...นี่คือปาฐกถาที่สะท้อนความเป็นจริงของไทยครบถ้วน ถูกต้อง แหลมคม ทรงพลัง พร้อมทั้งให้นำปาฐกถานั้นเผยแพร่สู่ประชาชนให้กว้างขวาง ผมก็คงต้องบอกว่า
    "ขอบคุณครับ!"
    ที่ตบหน้าประเทศไทย-คนไทยได้ครบถ้วน-ถูกต้องที่สุด.....
    แหลมคมทิ่มฝ่าเท้าทะลุหัวใจ เจ็บปวดทรงพลังกว่าที่ครอบครัวผมได้รับที่สุด!!
    จะว่าไปแล้ว ลุ พ.ศ.นี้ ไม่มีอะไรในประเทศไทย ที่ทักษิณและ "ครอบครัวชินวัตร" ทำแล้วประชาชนหรือองค์กรไหนกล้าหือ แต่หื่นอาจมีบ้าง 
    ในเมื่อ สถาบันบริหาร-สถาบันรัฐสภา-ตำรวจ-ทหาร-ข้าราชการ-ครู-อาจารย์-มหาวิทยาลัย-อัยการ-บริหารท้องถิ่น-สื่อ กระทั่งวัด-พระ-แพะ บางคน-บางพวก....
    พร้อมเพื่อ "วงศ์ชินวัตร"!?
    ความจริงนายกฯ ยิ่งลักษณ์นอกจากใบหน้าหวานแล้ว ลูกตาทั้ง ๒ ข้างออกจะ "หวานจัด" เป็นพิเศษด้วย ก็เพิ่งสังเกตชัดๆ จากรูปที่ยืนปาฐกถาที่อูลาน-บาตอร์นี่แหละ หะแรกก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก จนเมื่อวาน จ้องดูตาดำตอนให้สัมภาษณ์นักข่าวในเรื่องเหล่านี้...
    อืมมมม..ตาสาวเจ้า "หวาน" จริงๆ ด้วย!
    แต่โบราณท่านไม่ให้เรียกว่า "หวาน" สำหรับผู้หญิง และก็ไม่ให้เรียกตาเข-ตาส่อน แต่ให้เรียกว่า ตาซื่อ-ตาใส เรียกกันไป-เรียกกันมา ลงตัวเป็น "สาวตาใสซื่อ" 
    เพราะสาวเจ้าตาใสซื่อนี่เอง การพูด-การทำ จึงซื่อใสมาตลอด กระทั่ง "อุจจารวาท" ที่อูลาน-บาตอร์ เธอซื่อใสแบบส่อนๆ ว่า...ความเจ็บปวดที่ครอบครัวดิฉันได้รับ จะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายของประเทศไทย!
    ในขณะที่ประชาชนคนไทยฟังแล้ว "ตาขุ่น-ตาขวาง" อยากตะโกนบอกเธอผ่านลำไส้ใหญ่ให้ไปก้องในทำเนียบฯ ว่า
    "การแยกแผ่นดิน-กินโกงแบบปล้นชาติ มุ่งล้มระบอบ-ล้มสถาบันของขบวนการทักษิณ นี่คือความเจ็บปวดที่ประชาชนได้รับ หวังว่านี่จะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายของประเทศไทย-คนไทย" 
    ตามตำรา "พิเคราะห์เนตรมหาบรรลัยจักร" มีอรรถาธิบายถึงลักษณะตาทุรลักษณ์และคุณลักษณ์ไว้มากมายหลายชนิด แต่ผมจำไม่หมด 
    จำได้แต่ฝอยโทษตาทุรลักษณ์ มีประมาณว่า คนคนนั้น ซ่อนเล่ห์ ซ่อนนัย ปากอย่างหนึ่ง-ใจอย่างหนึ่ง คบยาก เชื่อยาก เลี้ยงก็ไม่เชื่อง ชีวิตจะพลิกผัน เด้งขึ้น-ดันลง ด้วยอาณัติหัตถ์ดาวมฤตยู+เกตุ 
    ทำนองบางคนปากว่า...ไม่แก้แค้น-แต่แก้ไข แต่การกระทำกลับแก้อีกอย่าง เพื่ออีกอย่าง...ซะงั้น!
    แต่เอาหละ...ในเมื่อรัฐบาลระบอบทักษิณยกย่องว่า อุจจารวาทของยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ แหลมคม-ทรงพลัง ผมเชื่อเป็นกรณีพิเศษ คือเชื่อว่า ครั้งนี้...ยิ่งลักษณ์เอาความจริง จาก....
    "จิตสังหรณ์" มาพูด!?
    "จิตสังหรณ์" ที่มีความน่าจะเป็นชนิด "มา-ไป" แบบฉับพลัน ไม่มีสัญญาณล่วงหน้าให้ทันตั้งตัว ซึ่งนี่...มันจะเป็นความเจ็บปวด "ครั้งสุดท้าย" ของประเทศไทยแล้ว
     เพราะครอบครัวที่บิดเบือนประชาธิปไตยและเฉือนแทะประเทศ เดินทางใกล้ถึงจุดขีดเส้นใต้เป็น "หมายเหตุประเทศไทย" จะไม่เหลืออะไรและใครให้เป็นความเจ็บปวดอยู่ในแผ่นดินนี้อีก!
    The Longest Day ของทักษิณมาถึงแล้ว "พี่มากพระโขนง" สถิติสูงสุดประเทศไทย ยังไงๆให้ไม่เกิน ๘๐๐ ล้าน แต่วันเผด็จศึกของ "พี่แม้วจันทร์ส่องหล้า" ทลายสถิติโลก กู้ล้างประเทศ ๒ ล้านล้านบาท ฉะนั้น จะได้...ต้องเผด็จศึก!
    แนวรบเพื่อไทย...พร้อม
    แนวรบ นปช. ...พร้อม
    แนวรบรัฐสภา...พร้อม
    แนวรบทำเนียบฯ...พร้อม
    แนวรบไพร่ริมถนน...พร้อม
    แนวรบนอกประเทศ...พร้อม
    แนวรบมะเขือเทศ...พร้อม
    แนวรบแตงโม...พร้อม
    แนวรบโล้นเหลือง...พร้อม
    แนวรบสื่อทุกสาขา...พร้อม 
    แนวรบ'จารย์มหา'ลัย...พร้อม
    โอ้โห...พร้อมทุกแนวรบ ประเทศไทยและ "สถาบันตุลาการ" ตกอยู่ภายใต้วงล้อมกองทัพใต้ร่มธงทักษิณที่เกณฑ์ระดมมาจากทั่วทุกสารทิศ ตั้งค่ายตีโอบเป็นปีกอีแร้ง-หางเหี้ย แลไปทางไหนสุดลูกหู-ลูกตา ฝุ่นปลิวตลบคละคลุ้งทั้งวันคืนด้วยรี้พลสกลไกรเคลื่อนย้ายขยายขยับกันยังไม่สิ้น
    กองทัพเพื่อไทย "มติเป็นเอกฉันท์" ประกาศอิสรภาพ "ไม่อยู่ใต้อำนาจสถาบันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ" อีกต่อไป เย้ย....ศาลรัฐธรรมนูญ "ไม่มีอำนาจ" ที่พวกเขาจะต้องรับฟัง-รับปฏิบัติอีกไปแล้ว!
    ส่วนกองทัพ นปช.เสื้อแดง ส่งกำลังส่วนหนึ่งไปปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกองกำลังผสมจากแนวรบกเฬวรากบ้าง 'จาร์มหา'ลัยบ้าง โล้นเหลืองบ้าง สื่อวิทยุ-ดาวเทียมบ้าง ได้รับคำสั่งให้ตรึงไว้ ไล่ล่าตัวตุลาการไปก่อน
    ไว้รอสมทบ "กองทัพจากแนวรบใหญ่" ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงรอสัญญาณจากโคโมโดตัวการที่กำลังวางแผนให้เปิดรัฐสภาสมัยวิสามัญ "ดันกฎหมายล้างโทษ" ฉบับเบ็ดเสร็จ "พร้อมตะลุยแก้รัฐธรรมนูญชนิด...ให้ราบเป็นหน้ากลอง" ในเมื่อประกาศอิสรภาพจากอำนาจตุลาการแล้ว
    ก็ไม่ต้องกลัวใคร...กลัว "แม้ว-นายใหญ่" แต่ผู้เดียว! 
    "หน่วยกำลังรัฐ" บางส่วนพร้อมสวามิภักดิ์ ฝ่ายบู๊-ฝ่ายบุ๋น-ฝ่ายเช็ดไข่ ประจำการครบ เรื่องเสบียงกรังไม่ต้องพูดถึง ๓.๕ แสนล้าน ตุงกระเป๋าซ้าย ๒ ล้านล้านตุงกระเป๋าขวา ไม่นับเศษๆ เลี้ยงหมา จากงบซื้อข้าว งบต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ งบประจำปี
    แล้วยังที่บูรณาการไว้อีก ๓๐-๕๐% ล่ะ!?
    "โอยยยย...มันเป็นความเจ็บปวดที่ครอบครัวดิฉันได้รับสุดที่จะทนนิ่งโดยไม่เคลื่อนไหว 'ยึดไทยทั้งประเทศ' ไว้ทำมาหาแดกเลี้ยงครอบครัวได้เลย"
    เดิมพัน ๒ ล้านล้านมันลอยอยู่ตรงหน้า แค่เอื้อมมือคว้าก็เข้ากระเป๋าแล้ว ฉะนั้น จะอ้อยสร้อยต้อยติ่งเป็นตูดลิงเสนอีกต่อไปไม่ได้ จึงต้องเด็ดขาด-เผด็จศึก
    "ทุกแนวรบ" ต้องลุย รื้อ-ล้าง-โละ แนวรบด้านรัฐสภาและด้านทำเนียบฯ ต้องผนึก แล้วดัน "กฎหมายนิรโทษ" ให้ทักษิณกลับเข้ามา ก่อนกันยานี้ให้ได้  
    เพื่อนฝูงใน เพื่อไทย-นปช.-เสื้อแดงน่ะ...ทักษิณรักใคร่ทุกคน
    แต่กับเงิน ๒ ล้านล้านน่ะ....
    เรื่องรักใคร่เพื่อนฝูง ก็ส่วนรักใคร่ แต่เรื่องไว้ใจนั้น ตัวเอง....กับเงินตัวเองยังโกงเลย ฉะนั้น ขอไม่ไว้ใจใครดีกว่า เงินใหญ่ก้อนนี้ ได้มาจะยิ่งกว่า "พญามังกรเสียบปีก"!
    "แล้วมันจะเป็นความเจ็บปวดของครอบครัวดิฉันขนาดไหน.....ถ้าไม่ช่วยพี่ชาย 'ยึดประเทศไทย' ให้สำเร็จ?"

ไทยโพสต์ "อิสรภาพแห่งความคิด"

 หลังจากเปิดโต๊ะพูดคุยเพื่อสันติภาพรอบ 2 ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นล้มเหลวไม่เป็นท่า เมื่อบีอาร์เอ็นต่อรองให้ไทยทำตามข้อเสนอ 5 ข้อก่อนถึงจะลดความรุนแรงลง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าการที่ ฮัสซัน ตอยิบ แถลง 5 ข้อเสนอผ่านยูทูบก่อนเจรจาเพียงวันเดียวเท่ากับตบหน้าทีมเจรจาฝ่ายไทย และยังมองว่าเป็นการเจรจาผิดตัวหรือกำลังหลงเข้าทางกลุ่มแบ่งแยกดินแดน แต่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ปฏิเสธว่า "ไม่ได้เพลี่ยงพล้ำ ยังมั่นใจสถานการณ์ดีขึ้นหลังมีการสื่อสารไปยังฝ่ายปฏิบัติการ และรัฐบาลพร้อมพูดคุยกับทุกกลุ่มที่มีความเห็นต่าง" ถือว่าเลขาฯ สมช.ยังมองโลกในแง่ดีและยังไม่หมดหวังกับการพูดคุย ซึ่งขณะนี้ก็ไม่ตางจากเวทีเจรจาต่อรองกันแล้ว...0
    ไม่มีใครปฏิเสธการเจรจา เพราะสงครามทุกสนามรบก็ล้วนจบลงที่โต๊ะเจรจา แต่กระบวนการที่จะไปถึงโต๊ะเจรจาต่างหากที่หลายฝ่ายท้วงติงว่าฝ่ายไทยยังขาดความรัดกุมรอบคอบ ข้อเสนอฝ่ายไทยไม่ใช่เรื่องยากหากบีอาร์เอ็นมีความจริงใจหรือคุมฝ่ายปฏิบัติการได้จริง หยุดก่อเหตุรุนแรงให้ดูสัก 1-2 เดือน ก็พิสูจน์ได้ทันทีว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แต่ขณะที่มีการเจรจา ประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็ยังถูกเข่นฆ่ารายวัน แสดงว่าฝ่ายปฏิบัติการไม่ฟังแกนนำผู้อาวุโส หรือเป็นการ "แยกกันเดินร่วมกันตี" และอาจมีความหวังว่ารัฐไทยกำลังหลงทางติดกับดักในการนำปัญหาไปสู่ระดับสากลเพื่อสร้าง "รัฐปัตตานี" ดังนั้นที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เสนอแนะว่า "ขอให้ตัวแทนของ สมช.มีความเป็นมืออาชีพในการต่อรองและสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้" จึงเป็นเรื่องที่ สมช.ควรรับไปพิจารณาก่อนจะถลำลึกไปกว่านี้...0 
    ส่วนเรื่องนี้ก็ถือเป็นการตบหน้าเหมือนกัน แต่เป็นการตบหน้าคนไทยทั้งประเทศ กรณี คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปปาถกฐาพิเศษในการประชุมประชาคมประชาธิปไตย ที่ประเทศมองโกเลีย โดยไม่รู้กาลเทศะ และสถานะของตัวเองว่าเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นน้องสาว นักโทษหนีคดี สำหรับเนื้อหาที่เธอพูดนั้นคงไม่มีใครเชื่อว่าเธอคิดเอง-พูดเองได้ขนาดนั้น รุ่งขึ้นอีกวัน เธอก็พูดวนเวียนได้แค่คำว่า "เป็นอุทาหรณ์มากกว่า ซึ่งไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก" ขณะที่บรรดากระบอกเสียงรัฐบาลและลิ่วล้อก็เรียงหน้ามาปกป้องยกย่องการปาถกฐานดังกล่าวราวกับว่าเป็นประกาศคณะผู้ต่อต้านประชาธิปไตยแห่งชาติทำนองนั้น...0
    ทั้งที่เนื้อหาทั้งหมดเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์การเมืองไทย พูดเอาดีใส่ตัว-เอาชั่วใส่คนอื่น พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ จึงตอกกลับว่า "นอกจากจะโกหกอย่างหน้าด้านแล้ว ยังแสดงความโง่ของตนด้วย โง่ตรงที่ไปบอกเขาว่าบ้านเมืองยังไม่สงบแล้วก็เชิญชวนให้เขามาลงทุน และโง่ตรงที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่คุมเสียงข้างมากในรัฐสภา คุมทั้งทหารและตำรวจ แล้วไปยอมรับว่ายังทำอะไรกับผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตยไม่ได้" ขณะที่ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน สวนกลับว่า "ในประเทศไทยไม่มีกลุ่มต่อต้านประชาธิปไตย มีแต่กลุ่มต่อต้านทักษิณ ต่อต้านการผูกขาดอำนาจและกินรวบประเทศ" และเชื่อว่ากลุ่มต่อต้านทักษิณยังคงปฏิบัติการต่อต้านการกินรวบจนถึงที่สุด...0
    บทบาทของ ยิ่งลักษณ์ แสดงความเป็นนายกฯ นอมินีชัดเจนทุกวัน ขณะที่ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่นอกประเทศ ก็โชว์บทบาท นายกฯ ตัวจริง ชัดเจนทุกวัน โดยสไกป์มาสั่งการ ส.ส.คอกเพื่อไทย เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ และประกาศหนุนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ โดยบอกว่า "จะทำอะไรควรทำอะไรให้มันสุดซอย ร่างของวรชัย เหมะ เหมือนเดินไปครึ่งๆ กลางๆ มันไม่สุดซอย" ก็ชัดเจนว่า น.ช.ทักษิณ สั่งให้ ส.ส.หนุนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทุกเสื้อสีและล้างความผิดให้ตัวเองด้วย แต่ที่น่าสมเพชคือ น.ช.ทักษิณ คร่ำครวญว่า "ขอให้ ส.ส.สามัคคีกันไว้ให้แน่น ให้นึกถึงผมบ้าง ยังลอยคอในทะเล อย่าให้ลอยคอนาน มันหนาว จะเป็นปอดบวมตายอยู่แล้ว อยากกลับบ้าน" สงสัยได้ปอดบวมตายสมพรปาก...0
    น.ช.ทักษิณและลิ่วล้อเหมือนกันอยู่อย่างคือ ปากอ้างประชาธิปไตย แต่มีพฤติกรรมเยี่ยงเผด็จการ กลุ่มเสื้อแดงในนามกลุ่มสื่อวิทยุเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ชุมนุมกดดันให้ตุลาการรัฐธรรมนูญลาออกถึงขั้นประกาศจับตัว 9 ตุลาการฯ ถือว่าเป็นการใช้เสรีภาพเกินขอบเขตและคุกคามสิทธิเสรีภาพบุคคลอื่น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จึงได้จัดงาน วันเสรีภาพสื่อมวลชน World Press Freedom Day 3 พ.ค.นี้ ภายใต้แคมเปญว่า "เสรีภาพ...ที่ไม่คุกคาม" เพื่อเรียกร้องให้ทุกฝ่าย สื่อมวลชนทุกแขนง กลุ่มการเมืองทุกเสื้อสี ใช้เสรีภาพอย่างรับผิดชอบ ไม่คุกคามบุคคลอื่น เพื่อสร้างบรรยากาศการหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยปัญญาและเหตุผล...0

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทวิเคราะห์ไทยโพส์


'มหากาพย์แห่งข้าว ณ ยุค

ตั้งแต่มีประเทศไทยมา ไม่มีนโยบายไหนกินประเทศไทย "ถึงเนื้อ-ถึงกระดูก" เท่านโยบาย "รับจำนำข้าวทุกเมล็ด" เกวียนละ ๑๕,๐๐๐ ของรัฐบาลระบอบทักษิณ เพราะนโยบายนี้เท่ากับ "ฉีดสารเสพติด" เข้าเส้นเลือดชาวนา แล้ว "ล้มระบบ" ตลาดค้าข้าวเสรีเป็นระบบ "ผูกขาดโดยรัฐ" สมบูรณ์แบบ ผลที่ปรากฏ ถึง ณ วันนี้ ข้าวไทย นอกจากสิ้นสภาพการนำ "ทุกด้าน" ในตลาดโลกแล้ว วงจรชีวิตชาวนายังถูกควบคุม-จองจำด้วย "ระบอบทักษิณกินรวบ" เบ็ดเสร็จ!
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่รัฐบาลยึดเป็นแหล่งเงินนอกระบบทำประชานิยมด้วยมอมเมารากหญ้า-ชาวไร่-ชาวนาอันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ...จงระวัง
จะเป็นรายที่ ๓ ต่อจากแบงก์อิสลาม และเอสเอ็มอีแบงก์!
ในขณะที่แบงก์พาณิชย์ต่างร่ำรวยในภาวะ "เงินนอกไหลท่วม" ด้วยตื่นวิถีบูรพา ผ่านประชาคมอาเซียน ทั้งเงินทุนไหลเข้า และทั้งกองทุนแสวงหากำไรจากส่วนต่าง ในยามยุโรป-สหรัฐ-ญี่ปุ่น ยังโงหัวไม่ขึ้น...แต่แบงก์รัฐ
คือ ธ.ก.ส.กลับตูดแหกสวนกระแส!?
ผู้บริหารต่างหัวหด กลัวถูกปลดมากกว่ากลัวแบงก์ฉิบหาย รัฐบาลสั่งอะไรเป็น ได้ครับ..มีครับ..เหลือเฟือครับ...ที่ว่าเหลือเฟือนั้น เห็นจะเป็นตัวเลขหนี้ที่กุลี-กุจอสนองนโยบายประชานิยม จ่ายซื้อนิยมให้รัฐบาลไปก่อนร่วม ๓ แสนล้านแล้วมั้ง?
แล้วนี่ ต้นปี ๕๖ ต้องรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ อีกแล้ว ธ.ก.ส.ที่เคยมีสภาพคล่องร่วม ๒ แสนล้าน ตอนนี้เหลือติดแบงก์กี่หมื่นล้านล่ะ!
ไอ้ที่หวังว่ากระทรวงพาณิชย์จะเอาเงินขายข้าวจีทูเจ๊มาคืนตามจำนวนน่ะ ก็หวังไปเถอะ แต่จะเป็น "ไอ้หวังตายแน่" ซะมากกว่า
หมายความว่า ไม่ต้องไปหวังจะได้เงินขายข้าวคืนช้า-คืนเร็วจากกระทรวงพาณิชย์ โน่นแน่ะ..ให้ ธ.ก.ส.ไปหวังลุ้นเอาจาก "สยามอินดิก้า" บริษัทค้าข้าวส่งออกขวัญใจเจ๊ "คู่เวร-คู่กรรม" กระทรวงพาณิชย์เค้าโน่น
เพราะ G to G ของกระทรวงพาณิชย์ยุค เจ๊ทูเจี๊ยะ G แรกไม่ได้หมายถึงรัฐบาลผู้ขาย แต่หมายถึงกระทรวงพาณิชย์ ส่วน G หลังไม่ได้หมายถึงรัฐบาลผู้ซื้อ แต่หมายถึงสยามอินดิก้าผู้ซื้อ
ฉะนั้น G to G ก็คือพาณิชย์ขายข้าวให้สยามอินดิก้า ส่วนสยามอินดิก้า ค้าขายยังไงก็ไม่ขาดทุน จะส่งออกเองหรือจะเล่นแร่แปรธาตุอยู่ภายใน ให้ผู้ส่งออกรายอื่นรับเหมาจัดส่งแทน ก็ยังได้ มีแต่กำไรมาก-กำไรน้อย เพราะไม่ต้องลงทุนเอง
เพราะใช้ข้าวใน "สต็อกรัฐบาล"!
ฉะนั้น ถ้าสยามอินดิก้า หาข้าวคุณภาพดี ไม่เก่าเก็บจนเหลืองได้ตามสเปกลูกค้าไว ธ.ก.ส.ก็อาจได้เงินคืนจากพาณิชย์ไว ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น....ก็คุยกันไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้!
ตอนนี้ ผู้บริหาร ธ.ก.ส.หน้ามืดอาจถึงขั้นเอาตีนก่ายหน้าผากแล้วก็ได้ จะไม่ก่ายไงไหว ถึงขั้นต้องนำเงินสำรองสภาพคล่องมาใช้แล้ว ซ้ำคลังก็ไม่ค้ำประกันให้อีก ถ้าจำไม่ผิด เมื่อสัปดาห์ก่อน นางนายกฯ เดินแผนตามนโยบายกินรวบของพรรคสำเร็จไปอีกแห่งแล้วมิใช่หรือ?
นั่นคือ "ยึดบอร์ด-ยึดงบ-เปลี่ยนหัว" ในทุกระบบราชการและรัฐวิสาหกิจ แล้วเอาคนระบอบ "แดงทั้งแผ่นดิน" แทรกซึมเข้าไปยึดพื้นที่
เพื่อสะดวกใช้เงิน-ใช้แผนตามนโยบาย เป่านกหวีด-ดีเดย์วันไหน "ทุกยูนิต" ของประเทศไทย พรึ่บ...พร้อม ตกอยู่ภายใต้การควบคุมระบอบทักษิณ "แดงทั้งแผ่นดิน" เรียบร้อยหมดแล้ว!
ครม.ยิ่งลักษณ์ตั้งบอร์ด ธ.ก.ส.ใหม่อีก ๑๓ คน ในจำนวนนั้นยัดคน "ระบอบทักษิณ" เข้าไปไว้ ๖ คน ก็มี นายยรรยง พวงราช อดีตปลัดพาณิชย์ นายสมหมาย กู้ทรัพย์ ทนายคนเสื้อแดง นายธนรัชต์ วิเชียรรัตน์ อดีตที่ปรึกษา รมต.เพื่อไทย นายวศิน ธีรเวชญาณ ซี้ทักษิณ อดีตที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงต่างประเทศ นายวิรัตน์ ศักดิ์จิรพาพงษ์ ส.ส.สอบตกสมัยไทยรักไทย และนายทวีป ตันพิพัฒนกุล ที่ปรึกษา ส.ส.เพื่อไทย
ก็เอากันให้สนุก ถึงที..ไม่เอา แล้วจะไปเอากันตอนไหน...จริงมั้ย เมื่อวาน (๒๕ ก.พ.๕๖) ผมอ่านข่าวเรื่องข้าว-เรื่องค้าแล้วขำ กรุงเทพธุรกิจเขาลงข่าวว่า....
"
รายงานจากกรมการค้าต่างประเทศแจ้งว่า ขณะนี้ได้ทำสัญญาขายข้าวในส่วนของข้าวจากโครงการรับจำนำก่อนหน้านี้ และโครงการใหม่แบบรัฐต่อรัฐหมดแล้ว แต่ไม่เปิดเผยปริมาณและราคาที่ขาย หากการระบายเป็นไปตามแผนก็จะทำให้โครงการรับจำนำนาปรังที่จะเกิดขึ้น ยังมีพื้นที่เก็บข้าวได้เพียงพอ"
"
ขายแบบรัฐต่อรัฐหมดแล้ว" กรมการค้าต่างประเทศเขาว่างั้น ผมอ่านแล้วอยากขำกลิ้ง แต่ขำไม่ออก เพราะใจคับแค้น ด้วยไอ้-อีข้าราชการ สมคบระบบโจรปล้นแผ่นดิน ด้วยสิ้นสำนึก
เอาที่ไหนมาลอยหน้าตอแหลว่า "ขาย G to G หมดแล้ว" ขอถามคนทั้งประเทศว่า มีใครเคยผ่านหู-ผ่านตาในรอบปีบ้างว่า กระทรวงพาณิชย์เปิดให้บริษัทค้าข้าวมาประมูลซื้อข้าวกันบ้าง?
ก็มีพอเป็นพิธีอยู่ครั้ง แต่ไม่เป็นมรรค-เป็นผลอะไร นั่นก็เอาเถอะ แล้วผมขอถามใหม่ว่า เคยมีข่าวปรากฏเป็นทางการที่ไหนบ้างว่า สยามอินดิก้าเคยเข้าประมูลซื้อข้าว หรือตกลงซื้อข้าวกับกระทรวงพาณิชย์?
ไม่มีเลย...!
แต่ปรากฏว่า พาณิชย์ยุค เจ๊ทูเจี๊ยะ สถิติส่งออกตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน สยามอินดิก้า ผงาดติดอันดับ ๕ เสือส่งออกข้าว โดยอยู่อันดับ ๓ ด้วยยอดส่งออก ๖.๘๗ แสนตัน
คำถามที่รัฐมนตรีบุญทรงควรตอบก็คือ แล้วสยามอินดิก้าเอาข้าวจากที่ไหนส่งออก ในเมื่อข้าวทุกเม็ดถูกรัฐบาลกวาดเก็บในโกดังแต่ผู้เดียว?
เขานินทากันแซดทั้งวงการ ที่พาณิชย์คุยว่า ได้เงินขายข้าวจีทูจีคืน ธ.ก.ส.ที่แท้ก็เงินส่วนที่สยามอินดิก้าเอาข้าวในสต็อกรัฐบาลไปส่งออกบ้าง ขายภายในบ้าง ขายให้ผู้ส่งออกบางรายบ้าง แล้วสยามอินดิก้าก็เอาเงินค่าข้าวไปให้
ให้ครบ-ให้เต็มขนาดไหน อยากรู้ก็ไปถามเค้าเอง!
ด้วยตรรกะนี้ สภาพคล่อง ธ.ก.ส.วันนี้ ก็ขึ้นอยู่กับเงินกระทรวงพาณิชย์ได้คืน และเงินได้คืนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสยามอินดิก้า มีความสามารถส่งออกได้คล่องขนาดไหน
สาม-สี่วันมานี้ ได้ยินพาณิชย์คุย ขายจีทูจีให้แอฟริกาบ้าง ให้อิรักบ้าง ผมในฐานะพ่อค้าส่งออกข้าวตากที่เหลือก้นบาตรพระในอดีต ยังพอมีพวกที่เคยค้าขายด้วยกันอยู่ จึงได้แลกเปลี่ยนข่าวสารกันเป็นระยะ จึงทราบว่า
G
แรกคือพาณิชย์ G หลังคือสยามอินดิก้า นั่นละก็...ใช่!
G-
สยามอินดิก้า ทำสัญญาขายให้ผู้ซื้อในแอฟริกาและอิรักผ่านคนกลางที่สิงคโปร์น่ะ ขายข้าว ๕% ให้อิรักราวๆ ๓ แสนตัน ราคาเท่าไหร่ทราบมั้ย ทราบแล้วจะเป็นลม
เท่าราคาข้าวเขมร...ตันละ ๔๘๕ เหรียญ!
ยังไม่ต้องบวกต้นทุน เอาแค่ที่รับจำนำเพียวๆ ก็ขาดทุนแล้ว ถามว่า...แล้วขายได้ไง คำตอบก็คือ สยามอินดิก้าไม่มีต้นทุน เพราะเลือกเอาข้าวตามโกดังต่างๆ ของรัฐได้ตามใจชอบนั่นไง เพราะเหตุนั้น การขายข้าวของพาณิชย์ทุกวันนี้ ทั้งจำนวน ทั้งราคา ทั้งผู้ซื้อ
จึงเป็น "ความลับสูงสุด" ทางราชการ!?
ข้าวที่ขายล็อตนี้ ที่จริงผู้ส่งออกรายอื่นทำสัญญาขายไว้ประมาณตันละ ๕๘๐ เหรียญ ขนาดนั้นยังขาดทุน แต่ปัญหาที่ผู้ส่งออกส่งให้เขาไม่ได้ก็เพราะ หาซื้อข้าวไม่ได้ ที่พอจะได้ ราคาสูงจนสู้ไม่ไหว
แต่ขณะนี้ สยามอินดิก้าก็ปวดหัว เพราะหาข้าวตามที่ลูกค้ากำหนดเป็นตัวอย่างได้ยาก ที่อัดแน่นตามโกดังนั้น ข้าวดี-ข้าวใหม่ก็ส่งออกไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็เม็ดข้าวเสีย เม็ดข้าวเหลือง เป็นข้าวเก่าเก็บ
มีทางเดียวที่พาณิชย์จะช่วยได้ คือเร่งให้โรงสีที่รับฝาก รีบเอาข้าวจำนำใหม่มาสี มาแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร เพื่อส่งมอบให้สยามอินดิก้าส่งมอบลูกค้าไวๆ
นอกจากให้ทันตามกำหนดแล้ว พาณิชย์ก็จะได้เงินรีบเอาไปทยอยคืน ธ.ก.ส.ด้วย ไม่งั้น โครงการรับจำนำรอบใหม่ ผู้จัดการต้องขายทั้งหัว-ขายทั้งตัว เพื่ฤอเอาเงินมาหมุนรอบ!
ที่กรมการค้าต่างประเทศโม้ว่า ข้าวใหม่-ข้าวเก่าระบายไปหมดแล้ว โกดังมีพื้นที่เหลือเก็บข้าวนาปรังรอบใหม่นั่นน่ะ เคยออกไปดูบ้างหรือเปล่า ผมเห็นแต่ยัดใส่ รมยาฆ่านก-ฆ่าหนู แล้วลั่นกุญแจ ๓ ดอก "ปิดตาย" อีกทั้งไม่ได้ยินว่าเปิดประมูลขาย
แล้วคุยว่า "ขายรัฐต่อรัฐ" หมดแล้ว...น่าละอาย?
ตามโกดังรัฐบาลตอนนี้ ข้าวรอเวลาเน่าไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้านตัน ผมไปสำรวจมาแล้วกะตา ตอนนี้ต้องใช้นโยบายให้โรงสีที่รับฝากเอาข้าวไปขายได้ในราคาตามสภาพข้าว เพื่ออะไรล่ะ...เพื่อหมุนเงินไปคืน ธ.ก.ส.ก่อนที่จะตายไปด้วยกันน่ะซี
วันนี้ ต้องขอจบด้วยวาทะแห่งชาติของ "กำนันทรง องค์ชัยวัฒนะ" แห่งพยุหะคีรี นครสวรรค์ ผู้ก่อตั้งตลาดกลางค้าข้าวแห่งประเทศไทย ซึ่งท่านกล่าวไว้ว่า.........
"
รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์จะซื้อเกวียนละ ๒ หมื่น หรือ ๓ หมื่นก็ได้ เพราะไม่ใช่เงินคุณยิ่งลักษณ์ มันเป็นเงินภาษีอากรของประชาชน และแกก็ชาญฉลาดมาก รัฐบาลนี้เอาเงินภาษีอากรมาซื้อใจประชาชน จะให้ ๑ หมื่น ๕ หรือ ๒ หมื่นบาท หรือ ๓ หมื่นบาทก็ได้ ชาวนาก็ชอบ พอขายรัฐบาลก็ชอบ แต่พอขายข้าวขาดทุนก็เป็นเรื่องของคน ๖๐ กว่าล้านคนที่ต้องรับผิดชอบ ผมมองดูแล้วมันไม่มีความเป็นธรรมในคน ๖๐ กว่าล้านคน".


วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สามัญชนต้ำเตี้ย

สูงสุดที่ 'สามัญชนต่ำเตี้ย' รอคำตอบ

  ประเทศไทย มีข้าราชการ "สูงสุด" อยู่ ๒ คน คนหนึ่ง "ผู้บัญชาการทหารสูงสุด" และอีกคน "อัยการสูงสุด" ในรอบสัปดาห์ มีเรื่องทำให้สังคมเกิดคำถามกับกระบวนการอัยการขึ้นว่า "เบื้องหลังความยุติธรรมคือความไม่ยุติธรรม" และ "ความอิสระของอัยการ" คือการทำอย่างใดก็ได้ โดยไม่แคร์ว่าจะมีใครตรวจสอบได้ อย่างนั้นหรือเปล่า?
   
นี่คือคำถาม และผู้ที่เป็น "อัยการสูงสุด" ขณะนี้ชื่อ "นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์" ควรอธิบายเป็นคำตอบให้สังคมได้เข้าใจ ก่อนที่หน่วยงานอิสระอันเป็น "ต้นน้ำ" กระบวนการยุติธรรมจะ "เสื่อม" ศรัทธาและความเชื่อถือไปจากสังคม เหมือนตำรวจ และ DSI ที่ "เสื่อม" อยู่ขณะนี้
   
เหตุก็จากเรื่องที่ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม จำเลยคดีการหายตัวไปของนายอัลรูไวลี ได้กล่าวหาอัยการและดีเอสไอว่า ร่วมกันนำพยานที่ปรักปรำเขา คือ "พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก" หนีออกนอกประเทศไปซุกไว้ที่ดูไบ
   
เหตุที่ พล.ต.ท.สมคิดใช้คำว่า "พาพยานหนี" เพราะ พ.ต.ท.สุวิชชัยเป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับตามคำพิพากษาศาลมีนบุรีที่ให้จำคุกตลอดชีวิต ในคดีฆ่าเชื้อพระวงศ์ลาว
   
เพราะความที่อัยการ-ดีเอสไอ ต้องการใช้ พ.ต.ท.สุวิชชัยเป็น "พยานเอก" ในการรื้อฟื้นคดีใหม่ ตามคำสั่งรัฐบาลทักษิณ แทนที่เจอตัวแล้วจะจับเข้าคุกตามหน้าที่ ซึ่งนั่นก็ยังสามารถเบิกตัวมาเป็นพยานได้   
   
แต่อัยการ-ดีเอสไอ กลับเลือกใช้วิธีตามที่ พล.ต.ท.สมคิดกล่าวหา ร่วมกับกระทรวงต่างประเทศออกพาสปอร์ตให้ อัยการซื้อตั๋วเครื่องบินให้ และดีเอสไอเป็นฝ่ายพา พ.ต.ท.สุวิชชัย ซึ่งเป็นอาชญากรหนีหมายจับ ออกนอกประเทศทางสนามบินสุวรรณภูมิ มุ่งดูไบ
    "
ด้วยวิธีพิเศษ"!?
    "
วิธีพิเศษ" คือไม่ผ่านด่าน ตม.ตามปกติ ส่วนจะประทับตราขาออกในพาสปอร์ตให้กันด้วยวิธีไม่ปกติด้วยหรือไม่ คงไม่ต้องอธิบาย ถ้าออกตามปกติ คงไม่ได้ออก เพราะเจ้าหน้าที่ ตม.กดคอมพ์ปุ๊บ ใบหน้าและรายชื่อในทะเบียนประวัติอาชญากร บุคคล "ห้ามออกนอกประเทศ" จะเด้งปั๊บ
   
ถูกจับทันที!
   
แต่อาชญากรหนีหมายจับ ไม่ถูกจับ เพราะ "ด้วยวิธีพิเศษ" ที่เป็นเช่นนั้นด้วยเหตุผลใด ผมคิดว่า อัยการ-ดีเอสไอ-ต่างประเทศ และ ตม.น่าจะเป็นผู้อธิบายให้สังคมได้เข้าใจ ปล่อยให้เขานินทากัน ไม่ดีหรอก
   
ในส่วนที่เป็นเขตอำนาจอัยการพึงปฏิบัติ และในส่วนที่ถูกหาเป็นผู้จ่ายเงินซื้อตั๋วพาพยานหนีไปซุกไว้ดูไบ ตรงนี้ พล.ต.ท.สมคิดได้ทำหนังสือถึงท่านอัยการสูงสุด ผ่าน "นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล" อธิบดีอัยการสำนักคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกอัยการไปแล้วหลายวันก่อน
   
ประเด็นหลัก นอกจากให้อัยการประสานดูไบ ส่งตัว พ.ต.ท.สุวิชชัยกลับมาในฐานะ "ผู้ร้ายข้ามแดน" แล้ว ยังให้สอบสวนทำความจริงให้กระจ่างในพฤติกรรมอัยการบางคน เช่น นางอินทรานี สุมาวงศ์ อัยการพิเศษ ฝ่ายกิจการต่างประเทศ ๒ เป็นต้น
   
พล.ต.ท.สมคิดอ้างหลักฐานว่า เป็นผู้จ่ายเงินซื้อตั๋วเครื่องบินให้ทั้ง พ.ต.ท.สุวิชชัยและดีเอสไอ ในลักษณะพาพยานอันเป็นอาชญากรหนีออกนอกประเทศ ด้วยเจตนาไม่สุจริตบางอย่าง
   
แต่ดูเหมือนท่านจุลสิงห์ วสันตสิงห์ คล้ายหนังสือยังไม่ถึงมือ หรือด้วยเห็นไม่สำคัญ หรือด้วยยังหาคำตอบเป็นทางออกไม่ลงตัว หรือด้วยอุ้มสมเพราะรู้เห็น หรือด้วยอยู่ระหว่างบูรณาการเรื่องราว
   
จึงไม่ปรากฏว่า ท่าน...ในฐานะอัยการสูงสุด ได้แสดง "ความสูงสุด" ด้วยจริยธรรม ด้วยคุณธรรม ด้วยดุลยธรรม และด้วยความรับผิดชอบตามตำแหน่งหน้าที่ "อย่างใด-อย่างหนึ่ง" ออกมา ดังที่เรียกกันว่า "รู้ร้อน-รู้หนาว" ต่อพฤติกรรมฉาวของคนสถาบันอัยการเลย!?
   
ระหว่างนี้ ผมปะติด-ปะต่อเรื่องราวจากแฟ้มข่าว ก็เกิดประเด็นสงสัยฝากถึงท่านอัยการสูงสุดเพื่อวินิจฉัยด้วยว่า เรื่องอาชญากรพยานปากนี้ ไม่ได้ร่วมมือกันเฉพาะกระทรวงต่างประเทศ-อัยการ-ดีเอสไอ-มหาดไทย เท่านั้น มีความน่าจะเป็นว่า
    "
คนสถานทูตซาอุฯ-ยูเออี" ก็ร่วมรู้-เห็นด้วย!?
   
เพราะพนักงานอัยการ "นายโกวิท ศรีไพโรจน์" ที่ยื่นคำร้องขอศาลส่งประเด็นไปสืบพยานปากนี้ที่ดูไบ อ้างต่อศาลเมื่อ ๗ ม.ค.๕๖ ว่า "พ.ต.ท.สุวิชชัยพำนักอยู่ยูเออี ตามหนังสือกระทรวงการต่างประเทศไทย ลงวันที่ ๗ ม.ค.๕๖ และหนังสือกระทรวงการต่างประเทศ กรมกิจการคนในชาติและคนต่างชาติ ยูเออี ลงวันที่ ๖ ม.ค.๕๖"?
   
คือยูเออี เป็นผู้แจ้งให้ไทยทราบผ่านกระทรวงต่างประเทศว่า "พ.ต.ท.สุวิชชัยอยูที่นั่น"
   
คำถามจึงมีอยู่ว่า...ทำไมยูเออี หรือดูไบจึงกระตือรือร้น "ร่วมมือ" เป็นพิเศษ รีบแจ้งให้ไทยทราบ แต่กับทักษิณ ก็เป็นอาชญากรหนีคดีอยู่ดูไบเช่นกัน
   
แต่ยูเออีไม่เคยกระตือรือร้นแบบนี้เลย?
   
ก่อนหน้านี้ เมื่อ ๑๑ ก.พ.๕๕ สถานทูตซาอุฯ ก็กระตือรือร้นแจ้งมายังไทยชนิดไม่มีเหตุผลว่า "พ.ต.ท.สุวิชชัยไม่ได้อยู่ที่ซาอุฯ" และต่อมา ๒๖ ธ.ค.๕๕ อัยการอ้างถึงหนังสือสถานทูตยูเออี แจ้งต่อศาลว่า พ.ต.ท.สุวิชชัยอยู่ยูเออี?
   
ทำไมทั้งซาอุฯ ทั้งยูเออี จึงร่วมมือกับไทย "เฉพาะเรื่องนี้" ออกหน้า-ออกตาเป็นพิเศษ และพูดถึงการหลบหนี ในโลกนี้มีหลายร้อยประเทศ ถ้าไม่มีเบื้องหลัง ก็คงมีแต่คนสติไม่สมบูรณ์เท่านั้น ที่จะหนีไปซาอุฯ หรือยูเออี
   
เอาหละ...ถ้ายูเออีเป็นมิตรที่แสนดีบริสุทธิ์ใจ ทำไมอัยการ-กระทรวงต่างประเทศ จึงไม่เดินตามช่องการทูต ประสาน "ตำรวจสากล" ให้จับตัว พ.ต.ท.สุวิชชัยส่งกลับไทย
   
ที่อ้างกันว่า...ไทยกับยูเออีไม่มีสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ผมอยากให้ท่านจุลสิงห์อ่านอะไรซักเล็กน้อย เผื่อท่านจะจำอะไรได้บ้าง
    18
ก.พ.53 ที่ห้องพิจารณาคดี 804 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวนายไมเคิล ไบรอัน สมิธ สัญชาติอังกฤษ อดีตผู้จัดการแผนกทรัพยากรบุคคล บริษัท ลิมิตลิส สำนักงานใหญ่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศยูเออี ในความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารกระทำผิดในการโอนเงินของบริษัทเข้าบัญชีตนเองโดยมิชอบ และฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 และ 341 ตามคำร้องขอของอัยการโจทก์
   
ก่อนหน้านี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประจำประเทศไทย มีคำร้องขอตามหนังสือทางการทูต มายังกระทรวงการต่างประเทศ และมีหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอพิจารณาดำเนินการส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ตาม พ.ร.บ.ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 มาตรา 8
   
นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศ กล่าวว่า คดีดังกล่าวทางการยูเออีได้ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการทูตมายังอัยการ เพราะไทยกับยูเออีไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่อัยการเห็นว่าเป็นคดีอาชญากรรมพื้นฐาน จึงให้ความร่วมมือในการยื่นคำร้อง จนศาลมีคำสั่งส่งตัว"
   
จำได้หรือยังครับท่านอัยการสูงสุด เราเคยช่วยเขา ถ้าเราร้องขอเขาบ้าง กับแค่ส่งตัวพ.ต.ท.สุวิชชัยอันเป็น "คดีอาชญากรรมพื้นฐาน" มาให้ ทำไมเขาจะไม่ช่วย หากแต่มีเจตนาไม่ขอไปเอง
   
ท่านจุลสิงห์มีคำอธิบายตรงนี้ซักเล็กน้อยไหมครับ?
   
คงอธิบายยากหน่อยกระมัง อธิบายไม่ดีจะขัดกับความจริงที่ปรากฏอยู่ คือนอกจากทั้งไม่ต้องการร้องขอ และทั้งไม่ต้องการให้จำเลยได้ซักค้านพยานปากนี้ในศาลแล้ว อัยการเสียเอง ร่วมดีเอสไอ-กระทรวงต่างประเทศ สมคบกันพาตัวไปซุกไว้ที่ดูไบ
   
เมื่อต่อจิ๊กซอว์แล้วจึงเห็น แขกซาอุฯ กับแขกยูเออี ร่วมเล่นยี่เกกับอัยการ-ดีเอสไอรางๆ!
   
อีกประเด็นที่อัยการและกระทรวงต่างประเทศ "ต้องตอบ" คือ ในเมื่อเขาแจ้งที่อยู่ของผู้ต้องหาหลบหนีชัดเจน ทำไมไม่ดำเนินการตามช่องทางการทูต เพื่อเอาตัวกลับมารับโทษ ตามอำนาจ-หน้าที่ ที่อัยการและกระทรวงต่างประเทศพึงทำ?
   
จำได้ไหม ตอนที่ทักษิณเข้าอเมริกา มีคนรุกเร้าให้นายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ขอให้สหรัฐส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายปึ้งอ้างกับนักข่าวว่าอย่างไร?
    “
โดยหลักการการส่งผู้ร้ายข้ามแดน กระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่ส่งคำร้องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ผ่านช่องทางการทูตเท่านั้น และในการติดตามตัวเพื่อขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน กระทรวงการต่างประเทศไม่มีอำนาจหน้าที่ ไม่ใช่หน่วยงานผู้ปฏิบัติให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแต่อย่างใด อีกทั้งทางการไทยจะไม่สามารถจัดส่งคำร้องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังต่างประเทศได้ ถ้ายังไม่มีแหล่งที่อยู่ที่แน่นอน
   
นายสุรพงษ์ นายจุลสิงห์ เคยได้ยินคำนี้ไหม "คำพูดมัดคอตัวเอง" ยูเออีแจ้งหลักแหล่งที่อยู่แน่นอนของ พ.ต.ท.สุวิชชัยให้ทั้งกระทรวงต่างประเทศ และทั้งอัยการทราบแล้ว ทำไมจึงละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
   
หรือเพราะ กู....สูงสุด?