วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทความคมชัดลึก

ไปข้างหน้าก็ไม่ได้ทางถอยก็ไม่มี
ขยายปมโดยสม  มมร.
วันเปิดประชุมสภาที่กำลังจะมาถึงนี่ มีเรื่องราวให้ฝั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มสมองเพชรในพรรคเพื่อไทย ให้ต้องขบคิดหาช่องทาง วิธีการแก้เหลี่ยม ที่ศาลรัฐธรรมนูญทิ้งทุ่นเอาไว้ในกรณีคำวินิจฉัยแก้รัฐธรรมนูญ

               ถึง นพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะบอกว่า เหลือแค่ 2 ทางเลือก คือ แก้รายมาตรา หรือทำประชามติในวาระ 3 พร้อมกับแก้บางมาตราไปด้วย แต่ก็ชัดเจนว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาอยู่รอพิจารณาวาระ 3 นั้น คงจะจบลงแต่เพียงเท่านี้

               ที่จะพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลในวันอังคารที่ 31 กรกฎาคม ก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า ถ้าจะแก้ แล้วจะเอาที่มาตราไหนดี

               บางพรรคอาจติดใจมาตรา 237 เรื่องยุบพรรค บางพรรคอาจคาใจมาตรา 68 ที่ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งจะให้บทเรียนไปสดๆ ร้อนๆ

               แต่สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว คงไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เท่ากับ มาตรา 309 เป็นแน่ เพราะเกี่ยวข้องกับคดีความของตนเองโดยตรง

               ปัญหาก็คือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาลจะกล้าแตะมาตรานี้หรือ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามจ้องจะเอาอยู่แล้วว่า แตะเมื่อไหร่ เจอกันบนถนนเมื่อนั้น เพราะนอกจากคดีความของพ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว มาตรา 309 ยังกระทบไปกว้างไกลแทบทุกองค์กร โดยเฉพาะองค์กรอิสระที่มีการสรรหา คัดเลือกกันในช่วงหลังเหตุการณ์ยึดอำนาจเมื่อปี 2549

               อย่างไรก็ตาม หากชาวบ้านฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลเอาด้วยกันเยอะๆ มันก็อาจจะเป็นหนังคนละม้วน

               ระหว่างนี้การรณรงค์ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นผลไม้พิษ เพราะกำเนิดจากต้นไม้พิษก็คงจะดังกระหึ่ม

               มีคำถามว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาอยู่ในสภานั้นจะทำอย่างไร คำตอบก็คือ หากไม่อยากให้เกิดความยุ่งยาก ก็ปล่อยตายซากอยู่อย่างนั้น ในเมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญบอกแล้วว่า การแก้รัฐธรรมนูญแบบนั้นมีแนวโน้มสูงว่า ไม่ถูกต้อง

               เพียงแต่ที่ยังไม่ฟังธงเพียะพะก็เพราะ "กระบวนการ" มันยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ที่รีบออกมาก่อนไม่ปล่อยให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็เพราะมันจะยุ่งยากเกี่ยวพันไปถึงหลายฝ่าย แล้วการแก้ไขมันจะซับซ้อนจนกลายเป็นวิกฤติของประเทศได้

               ทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงไม่ต้องถามว่า "คนดูไบ" จะแฮปปี้ด้วยหรือไม่

               คนที่ไปดูไบด้วยเรื่องเก้าอี้ ต่างก็กลับมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีแต่อาการหงุดหงิด ยิ่งหงุดหงิดก็ยิ่งมองหาทางไปไม่เจอ เพราะแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องว่ากันเป็นรายมาตรา จะลากกฎหมายปรองดองผ่านสภาก็ดันเจอเสียงเตือนจากหลายฝ่าย จนต้องถอยกรูด

               จะเดินหน้าชนดะไปทุกเรื่องก็ทำไม่ได้ เพราะหายนะจะมาเยือนก่อนกำหนด ครั้นจะปล่อยให้รัฐบาลนี้ลากยาวๆ น้องสาวก็ดูไม่ได้ดั่งใจ

               ทำไปทำมาสิ่งที่อยากจะทำมันดันเป็นการไปเพิ่มเงื่อนไขให้เรื่องที่มันหนักอยู่แล้วสาหัสมากขึ้น

               ทางเดียวที่ "คนดูไบ" ทำได้ก็คือ ผ่อนคลาย ปล่อยวาง เพื่อให้ห้วงเวลานี้ผ่านพ้นไปก่อน ขืนบุ่มบ่ามไป เข้าทางฝ่ายตรงข้ามรุมกระหน่ำรัฐบาลน้องสาวที่ซวนทรุดอยู่แล้วพังพาบลงจะทำอย่างไร

               สภาพปัญหาของรัฐบาลในขณะนี้ เรื่องเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องใหญ่ พวกขาใหญ่ที่ดึงมาช่วยก็ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นกว่าเก่า ตื่นเช้ามาก็มีแต่ทรงกับทรุด

               นโยบายที่ฟังแล้วดูดีอย่างเรื่องจำนำข้าว แต่พอทำไปแล้วก็ส่อเค้าว่าจะไปสร้างวิกฤติการเงินรอบใหม่ให้แก่ประเทศเสียมากกว่า เพราะทีดีอาร์ไอก็ศึกษามาแล้วว่า ลงไป 100 บาท ถึงมือชาวนาแค่  17 บาท แต่รัฐบาลก็ตะบี้ตะบันทำกันต่อ

               ก็ใช้เงินเก่งขนาดนี้ รัฐบาลจึงมองหาช่องทางเงินกู้ หรือไม่ก็เปิดคลังหลวงเอาเงินมาใช้

               นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ กรณีเขาพระวิหารที่ทำท่าว่าจะพลาดแบบแรงๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เรื่องไฟใต้ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ จนมีคลิปประจานไปทั่วโลก ก็ไม่ได้กระตุ้นให้รัฐบาลออกมาตรการใดๆ มากไปกว่านี้ ทั้งที่ความจริง มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นเลขาฯ ศอ.บต.อยู่ทั้งคน แต่ภาพที่ออกมากลับตอกย้ำความเป็น "รัฐตำรวจ" มากกว่าจะไปแก้ปัญหาให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

               แทนที่จะเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศ แต่รัฐบาลกำลังจะกลายเป็นวิกฤติของประเทศเสียเอง

               ในวันนี้ไม่มีใครการันตีว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ครบเทอม

               ไม่ใช่เพราะมีกลุ่มคนที่บ่อนทำลายอย่างที่พยายามป่าวร้องให้ชาวบ้านเชื่อ หากแต่ดูกันแบบเนื้อๆ ว่า ที่รัฐบาลกำลังบริหารงานอยู่นั้น ถามว่า มีอะไรที่พอจะนำพาชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นวิกฤติได้บ้าง

               ศึกซักฟอกที่กำลังจะมีขึ้นในวันข้างหน้านี้ จะเป็นบทพิสูจน์ แต่ถ้าให้พูดในวันนี้ สภาพที่เป็นอยู่คือ "ไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ทางถอยก็ไม่มี"

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทความเดลินิวส์

ยุทธศาสตร์ 'รอได้' เกมประคองรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม 2555

ไร้ข้อสรุปคือข้อสรุปที่ได้จากการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

เป็นไปอย่างที่
คาดการณ์ไว้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำสูงสุดของพรรคคงเลือกที่จะ ซื้อเวลา ไม่เดินหน้าชนเหมือนที่ผ่านมาก่อนหน้านี้
เราเป็นรัฐบาลอย่าใจร้อน ต้องนิ่ง สุขุมรับฟัง อดทน และรักประชาชน ส่วนความใจร้อนเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน และไม่ต้องห่วงว่าผมจะได้กลับเมื่อไหร่เพราะไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถพูดคุย ให้คำแนะนำปรึกษาได้

พ.ต.ท.ทักษิณ พูดไว้ช่วงหนึ่งระหว่างงานเลี้ยง ส.ส.พรรคเพื่อไทย

สะท้อนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นสามารถ
รอได้ ไม่รีบร้อนรีบเร่งเหมือนอย่างที่ให้เหตุผลของการแก้ไขก่อนหน้านี้ ขณะที่การผลักดันร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ที่
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอธิบายไว้ว่า หากไม่มีกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้ เพราะไม่มีทั้งประชาธิปไตยและความเป็นธรรม

แต่มาวันนี้ทั้งสองเรื่องสามารถ
รอได้ ตราบใดที่พรรคเพื่อไทยประคับประคองไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง

ถือเป็นเรื่องที่
ถูกต้องที่รัฐบาลจะเอาเวลาและสมาธิมาเดินหน้าทำงานเพื่อให้นโยบาย สารพัดประชานิยม ที่ได้หาเสียงไว้ในช่วงการเลือกตั้งเกิดผลสำเร็จ

หนึ่งในนโยบายสำคัญที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เดินหน้าคือ นโยบายบัตรเครดิตชาวนา โดยเริ่มที่ จ.ร้อยเอ็ดเป็นแห่งแรกและจะเดินหน้าแจกให้ครบ 2 ล้านใบ ภายในเดือน ธ.ค.นี้

โครงการนี้มี ธ.ก.ส. เป็นแม่งาน ธ.ก.ส.คือธนาคารที่ดูแลเรื่องการจำนำข้าว นโยบายสำคัญอีกอันของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

มีข่าวปรากฏออกมาก่อนหน้านี้ว่า ธ.ก.ส.กำลังขาดสภาพคล่อง เนื่องจากเอาเงินจำนวนมหาศาลไป
รับจำนำข้าว

ในวันที่ 23 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีคิวต้องแถลงผลงานในรอบ1 ปีให้รัฐสภารับทราบ

ตรงนั้นแหละจะเป็น
ตัวชี้ ว่า พรรคเพื่อไทยจะประคองความเป็นรัฐบาลได้ครบเทอมหรือเปล่า

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯพูดไว้ก่อนหน้านานแล้วว่า
ครบเทอมแน่ ถ้าไม่มีทุจริตคอร์รัปชั่น

นอกจาก
ปราบยาร.ต.อ.เฉลิม ยังได้รับความไว้วางใจให้ ปราบคอร์รัปชั่นอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย

เป็นการวาง
ขุนพลฝั่งธน ไว้รับมือการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์โดยแท้

อย่าแปลกใจถ้าช่วงนี้จะมี
ข่าววงในเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ออกมาจากปาก ร.ต.อ.เฉลิม

เป็นยุทธศาสตร์ที่ช่างเหมือนกับที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวไว้ในคลิปเสียงที่ว่า พรรคเพื่อไทย ต้องบริหาร
ชัยชนะ จากการเลือกตั้งให้นานที่สุด

แก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังจะกลายเป็น
มายา แต่ปัญหาปากท้องของแพงนี่สิ ของจริง”.

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์ไทยโพสต์

การเมืองก้าวไม่พ้นทักษิณ
ขยายปมโดยสม   มมร.
·         24 กรกฎาคม 2555
คึกคักเป็นพิเศษกับ เบิร์ธเดย์ก้าวสู่ 64 ปี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ถนนการเมืองทุกสายดูเหมือนจะมุ่งหน้าสู่ ฮ่องกงตั้งแต่ยังไม่ถึงวันงาน 26 ก.ค. ท่ามกลางบรรยากาศฝุ่นตลบในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปรับ ครม.ปู 3” สส. รัฐมนตรี ว่าที่รัฐมนตรี แห่กันตบเท้าร่วมอวยพร พ.ต.ท.ทักษิณ แบบมีนัย
ส่วนแฟนคลับที่เมืองไทยเตรียมจัดงานใหญ่ที่วัดเจ้าฟ้า จ.นนทบุรี ทำบุญฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี ทำบุญเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้อดีตนายกฯ ทั้งการสวดอิติปิโส 108 จบ การร่วมสร้างพระ 2.6 ล้านองค์ ไปจนถึงเสวนาทางการเมืองเรื่องฉลองธรรมาธิปไตย เพื่อคืนความเป็นธรรมให้สังคมไทย
พร้อมทั้งหยิบยกภาพพุทธประวัติ มารพ่ายเป็นโลโก้ของงาน สื่อถึงชัยชนะที่พุทธองค์ทรงมีต่อหมู่มาร
งานนี้ได้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย มาร่วมงาน พร้อมมี พ.ต.ท.ทักษิณ วิดีโอลิงก์เข้ามาพูดคุยกับผู้ที่มาร่วมงานทั้ง 7 จังหวัด จ.เชียงใหม่ ลำปาง นครราชสีมา ชลบุรี อุดรธานี ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร (กทม.)
ยังไม่รวมกับพื้นที่เวทีย่อยที่กระจายไปแต่ละพื้นที่ เวลานี้เบื้องต้นคนเสื้อแดงราชบุรีประกาศจัดงาน ทำบุญเลี้ยงพระเพลและเจริญน้ำพระพุทธมนต์ วัดช่องลม อ.เมือง จ.ราชบุรี ที่ใกล้วันงานน่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น
อีกด้านหนึ่ง อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง”“ดารุณี กฤตบุญญาลัยแกนนำเสื้อแดงจิรเดช วรเพียรกุลผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง สงคราม กิจเลิศไพโรจน์อดีต รมช.พาณิชย์ พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
ร่วมแถลงจัด “64 สามัคคีกลมเกลียวแจกโดนัต 6.4 หมื่นชิ้น บรรจุกล่องสี่เหลี่ยมสีชมพูอ่อนที่มีภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมการ์ดโอกาสวันเกิดของกระผม ขอมอบความรักความหวาน ความกลมเกลียว มายังท่านทั้งหลายด้วยรักและผูกพัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 26 ก.ค. 2555
อริสมันต์ชี้แจงว่า จะแจกโดนัตไปยังเด็กด้อยโอกาส เด็กกำพร้า สถานสงเคราะห์ สถานพินิจเด็กและเยาวชน สตรีที่เป็นเหยื่อความรุนแรง คนชรา 6.4 หมื่นชิ้น
ยังไม่รวมกับโครงการ เยี่ยมคนแดนไกล แบบไม่มีอภิสิทธิ์ชนกับพานทองแท้ที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน พ.ต.ท.ทักษิณ จัดโครงการผ่านเฟซบุ๊กจนได้แฟนคลับ 20 ราย ร่วมคณะไปฉลองวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เกาะฮ่องกง โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

งานวันเกิดปีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงดูยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ และทำให้ย้อนเปรียบเทียบไปถึงงานวันเกิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตัวจริงเสียงจริงไม่ได้
วันเกิดครบ 45 ปี นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ผ่านมา เป็นเพียงแค่การทำบุญตักบาตรที่บ้านพัก ซอยโยธินพัฒนา 3 พร้อมด้วยสามี อนุสรณ์ อมรฉัตรและ น้องไปป์ ศุภเสกข์ อมรฉัตร
ชัดเจนว่าที่ผ่านมาเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณยังทอดทับมายังนายกฯ ยิ่งลักษณ์ อย่างไม่สามารถดิ้นหลุด และยิ่งยากที่จะสร้างภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นกับการบริหารงานช่วงเกือบปีที่ผ่านมา
ทุกอย่างตอกย้ำให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทรงอิทธิพลต่อทิศทางการเมืองไทย ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้จะถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี พร้อมต้องระหกระเหินหนีคดีอยู่ต่างประเทศ แต่ชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังไม่เคยหายไปจากการเมือง
ไม่ว่าฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล เสื้อแดง เสื้อเหลือง ทุกประเด็นการเมืองยังมีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเกี่ยวข้อง จนว่ากันว่าการเมืองไทยไม่เคยก้าวพ้น พ.ต.ท.ทักษิณ
ย้อนไปตั้งแต่สมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำเวลานั้น เคยเกิดเหตุการณ์สภาล่มระหว่างการประชุมร่วมรัฐสภา เพราะมี สส.ซีกเพื่อไทย เดินทางไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กัมพูชา จนประชาธิปัตย์ เตรียมที่จะยื่นเรื่องให้ตรวจสอบความเหมาะสม
ที่ผ่านมา ข่าวคราวการแห่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ของสมาชิกเพื่อไทย เสื้อแดง มีให้เห็นตลอด โดยเฉพาะฤดูแต่งตั้งโยกย้าย ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปจนถึงการตัดสินใจต้องชี้ขาดส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะเป็นที่รับรู้กันว่าอำนาจการตัดสินใจชี้ขาดอยู่นอกประเทศ
ปัญหาเกาเหลาระหว่างมุ้งระหว่างพรรคที่ไม่อาจเคลียร์กันเองได้ หลายครั้งต้องจบลงที่ให้คนต่างแดนช่วยเคลียร์ปัญหา สยบรอยร้าวไม่ให้ลุกลามบานปลาย
เอาเข้าจริง ไล่มาตั้งแต่การวางตัวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรน้องสาวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกปากว่าเป็น โคลนนิงไม่ใช่แค่ นอมินีมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นอำนาจที่แท้จริง
การที่คุณยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นน้องสาวผมมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค สถานะนั้นสามารถตัดสินใจแทนผมได้เลย เยส ออร์ โน นี่พูดแทนผมได้เลยพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ไปจนถึงการวางตัว ขุนค้อน สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์มารับประธานสภาผู้แทนราษฎร ตำแหน่งสำคัญที่กำหนดทิศทางการเดินหน้ากระบวนการนิติบัญญัตินั้น ทางเจ้าตัวก็เคยยอมรับว่ามีการพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่างประเทศ
ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อ คลิปลับเปิดใจระบายความรู้สึกในงานวันเกิดที่ จ.เพชรบูรณ์ กลายเป็นหลักฐานมัดตัวเองว่าการผลักดันเดินหน้า พ.ร.บ.ปรองดอง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล้วนแต่มีการปรึกษากับคนต่างแดนในแต่ละขั้นตอน
ไม่แปลกที่ท่าทีการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงเกือบครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งถูกตัดแขนตัดขาในประเทศไทย จะต้องพยายามดิ้นเคลื่อนไหวภายใต้ยุทธศาสตร์โลกล้อมไทย ตอบโต้กับการไล่บี้ของรัฐบาลประชาธิปัตย์และคอยแวะเวียนมาปรากฏตัวอยู่รอบชายแดนเขตประเทศไทย
สงกรานต์ที่ผ่านมา เสื้อแดงสส.เพื่อไทย พร้อมใจกันเดินทางไปรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แวะเวียนมาให้แฟนคลับได้หายคิดถึงที่ลาวและกัมพูชา
ล่าสุด หลังช่วงวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมที่จะแวะไป สหรัฐอเมริกาเพื่อประกาศให้เห็นว่าได้รับการตอบรับจากประเทศมหาอำนาจ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังความพยายามต่อรองให้ได้วีซ่า
ท่าทีที่ปรากฏตลอดเวลาที่ผ่านมา ล้วนแต่ขัดแย้งกับสิ่งที่เจ้าตัวเคยประกาศวางมือ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ที่สำคัญยังทรงอิทธิพล มีอำนาจในการขับเคลื่อนทางการเมืองไทยอย่างไม่อาจก้าวข้ามได้

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทความเดลินิวส์

เมื่อ"ประยุทธ"ให้เวลา2ปีทะเลาะกันให้จบ
ลุ้นกันจน บางฝ่ายแทบจะนั่งไม่ติด ถึงขั้นประกาศจองพื้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในเวลา 14.00 น. ของวันที่ 13 ก.ค. ที่จะถึงนี้

ประเด็นในการวินิจฉัยคดีครั้งนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ 4 ประเด็น ประกอบด้วย

1. อำนาจฟ้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสอง

2. ปัญหาเรื่องมาตรา.291.ว่าจะสามารถยกเลิกหรือแก้ไขได้ทั้งฉบับหรือไม่

3. ปัญหาในมาตรา 68 วรรค 1 ว่าเป็นการล้มล้างหรือได้มาซึ่งอำนาจหรือไม่ และ

4. ผลของการกระทำดังกล่าวจะมีเหตุให้ยุบพรรคหรือตัดสิทธิทางการเมืองตามมาตรา 68 วรรค 3 และวรรคท้ายหรือไม่

รัฐบาลและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตั้งความหวังไว้ว่า ขอให้หยุดการวินิจฉัยอยู่แค่ประเด็นที่ 2

วันก่อนได้ยิน นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
หากผลออกมาในแนวทางดังกล่าวจริง ๆ ส่วนตัวเชื่อว่าจะกลายเป็นผลดี เพราะจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยิ่งรวดเร็วมากขึ้น เพราะไม่ต้องมีการตั้ง ส.ส.ร. แล้ว โดยให้ ส.ส. และ ส.ว. ไปยื่นร่างแก้ไขเป็นรายมาตรามาใหม่ได้ อย่างน้อยเร็วขึ้นอีก 8 เดือนกว่า ดังนั้นใครที่คิดจะค้านก็จะค้านไม่ได้แล้ว

เหมือนนายอุดมเดชจะบอกว่าไม่ว่าจะอย่างไรการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเกิดขึ้น และข้อครหาที่ว่า
ชงเอง กินเองก็ไม่น่าจะมีน้ำหนักต่อไปเพราะเป็นการแก้ไขโดยส.ส. และ ส.ว. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความจริงก็เป็น
ภาพหนึ่งในภาพใหญ่ทั้งหมดของความ
ขัดแย้งในบ้านเมือง

ในการเสวนา
เอทานอล : อนาคตพลังงานทดแทนไทย ยุทธศาสตร์ความมั่งคั่งและความมั่นคงของชาติ ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา บิ๊กตู่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะประธานคณะกรรมการนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 2550 กล่าวไว้ช่วงหนึ่ง น่าคิดว่า
ขอให้ทุกคนระลึกว่า เวลาของเราน้อยลง เพราะมีเวลาอีกแค่ 2 ปี ก็จะเปิดประชาคมอาเซียนที่จะต้องมีการถกเถียงกับนอกประเทศ ถ้าจะทะเลาะก็ทะเลาะกันให้จบใน 2 ปีนี้ ก่อนเปิดประเทศอาเซียน

ใน
สหภาพยุโรปกรีซ ได้กลายเป็นตัวถ่วงเพราะเกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจ แต่สำหรับประชาคมอาเซียน ระวังประเทศอย่างวันนี้ยังหาวิธีการ ขจัดความขัดแย้ง ตลอด 5 ปีออกไปไม่ได้ ก็อาจจะมีปัญหาเช่นกรีซ
2 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้เวลาทะเลาะกันให้จบนั้น ถือว่า ไม่มากและไม่น้อยเกินไป”.

บทความข่าวสด

มุมมอง'ศุกร์13'วันตัดสินม.291
ขยายปมโดย สม  มมร.

ทันทีที่การไต่สวนคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ล้มล้างการปกครอง วันที่ 5-6 ก.ค. จบลงและศาลรัฐธรรมนูญแจ้งนัดคู่กรณีฟังคำวินิจฉัย วันศุกร์ที่ 13 ก.ค.
ทำให้หลายคนฉุกคิดเกี่ยวกับตัวเลขและวันอาถรรพ์ 'ศุกร์ 13'
นักการเมือง รัฐบาล ฝ่ายค้าน และคนในแวดวง ให้สัมภาษณ์และโพสต์ในเฟซบุ๊กแสดงความเห็นต่อประเด็นเหนือวิทยาศาสตร์ไว้ดังนี้
พานทองแท้ ชินวัตร
Friday the 13th. ฝรั่งเขาว่าเป็นแบด ลัก (bad luck) หรือ อันลักกี้ เดย์ (unlucky day) และจะไม่ทำการงานใดๆ ที่สำคัญกันในวันนี้

ตามโรงแรมต่างๆ ก็จะไม่มีชั้น 13 เพราะให้อยู่ฟรีๆ ยังแทบไม่มีคนนอน โดยเฉพาะถ้าเป็นวันศุกร์ 13 แถมเงินให้ก็ไม่มีคนเข้าพัก จึงต้องเปลี่ยนเป็นชั้น 12A บางที่ชั้น 12 แล้วก็ข้ามไปชั้น 14

คนไทยเราฉลาดกว่ามาก อะไรไม่ดีก็มีการแก้เคล็ด เช่น ศุกร์ 13 ฝรั่งว่าเป็นวันอัปมงคล คนไทยเราก็บอกว่าเป็น 'วันศุกร์ 13 ฝันหวาน' เป็นคำในลักษณะแก้เคล็ด คล้ายๆ กับที่คนไทยเราแก้เคล็ดโดยเรียกสัตว์ที่ไม่เป็นมงคลว่า 'ตัวเงินตัวทอง' ให้รู้สึกว่าดูดี มีราคา

สำหรับพรรคเพื่อไทยจะ 'แก้เคล็ด' หรือ 'เคล็ดขัดยอก' ศุกร์ 13 นี้ก็รู้เรื่อง อย่างมากก็แค่เคล็ดขัดยอก ไม่ถึงตาย 'ยุบหนอ เดี๋ยวก็พองหนอ' อีก
ยุบไทยรักไทยก็พองเป็นพลังประชาชน ยุบพลังประชาชนก็พองเป็นเพื่อไทย ยุบเพื่อไทยก็พองอีก
ขอร้องใครที่คิดมาก เมื่อมันจำเป็นที่ต้องมาตัดสินกันในวันศุกร์ที่ 13 เราก็ควรคิดอย่างไทยๆ อย่าไปหมกมุ่นเหมือนฝรั่ง พ่อผมโดนจัดเต็มจัดหนักมาเกือบ 6 ปี เมื่อสงกรานต์ที่แล้วฉลองปีใหม่ไทยกับพี่น้องคนไทยร่วม 5 หมื่นคนนอกผืนแผ่นดินไทย ยังร้องเพลง Let it be ได้เลย แปลเป็นไทยชาวบ้านเข้าใจได้ง่ายๆ 'ช่าง...มัน'

ปลอดประสพ สุรัสวดี
รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เป็นวันดี ปกติทุกวันที่ 13 ส่วนใหญ่ผมจะขึ้นเครื่องบิน เพื่อเดินทางสำรวจต่างๆ เพราะถือว่าเป็นวันดี โดยเฉพาะทางฝรั่งอย่างที่ประเทศอเมริกาเขาเรียกวันนี้เป็นวันแบล็ก ฟรายเดย์ (Black Friday) ส่วนความเชื่อในประเทศไทย ก็เชื่อว่ายังเป็นวันดี



และผมเกิดวันที่ 3 เดือน 3 รวมถึงเลขที่บ้านและทะเบียนรถยนต์ ก็เป็นเลข 33 ฉะนั้นโดยส่วนตัวจะเห็นว่าผมเกี่ยวโยงกับเลข 3 มาโดยตลอด ฉะนั้นเชื่อว่าเลข 3 จะเป็นเลขนำโชค และใครจะว่าอย่างไรผมก็ไม่สน เพราะวันที่ 13 ก.ค.นี้ ต้องเป็นวันดีแน่นอน

พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์

โฆษกพรรคเพื่อไทย
เรื่องศุกร์ที่ 13 อาจเป็นเรื่องที่ต่างชาติเขาถือกันว่าเป็นวันและเลขที่ไม่สวย ไม่ดี ถือเป็นลางร้าย แต่เราในฐานะที่เป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธ ผมไม่เชื่อในเรื่องดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นศุกร์ที่ 13 หรือวันที่เท่าไรก็ตาม ถือเป็นวันและเป็นเลขที่มงคลและดีทั้งสิ้น
ผมเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์ที่พูดถึงหลักการ 'ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว' ดังนั้นพรรคเพื่อไทยทำดี แก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันศุกร์ที่ 13 ก.ค.นี้ จึงไม่น่าจะมีความหมายอะไร หรือจะมีผลในทางที่ไม่ดีเหมือนที่ต่างชาติเขาถือกัน
วันดังกล่าวอาจจะเป็นวันที่สร้างความสุขให้กับคนไทยทั้งประเทศก็เป็นได้ เพราะเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินอนาคตของประเทศ การตัดสินที่ถูกต้องโดยยึดความยุติธรรมตามหลักข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงก็จะได้รับการยอมรับจากประชาชน

พรรคเพื่อไทยจึงไม่กังวลเรื่องของศุกร์ 13 เพราะเราคิดแต่ในแง่ดีและคิดบวกมาโดยตลอดอยู่แล้ว หวังว่าการตัดสินในวันศุกร์ที่ 13 ก.ค. ที่มองว่าเป็นศุกร์อันตราย อาจเป็นวันสร้างความสุขให้หลายคน
ส่วนใครที่ฝันหวานจะเป็นรัฐบาลส้มหล่น ขอให้เลิกฝันเพราะแม้ถูกตัดสินในทางลบสุด ถูกยุบพรรค แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังเกาะกันแน่น รัฐบาลก็ยังคงอยู่

ศันสนีย์ นาคพงศ์
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
อคติเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ถ้าจิตเราคิดอย่างไรก็มักเป็นไปตามนั้น ชีวิตมันไม่แน่ ใครจะคิดว่าเหตุการณ์ไนน์วันวัน หรือสึนามิจะเกิดในประเทศไทย ยังเกิดขึ้นได้



เรื่องศุกร์ 13 ก็เคยคุยกับพระ เรื่องนี้ไม่ใช่ความเชื่อของคนไทยเป็นความเชื่อของฝั่งตะวันตก บางคนก็เชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลาสต์ ซัปเปอร์ ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซู ขณะเดียวกันก็มีบางประเทศถือเป็นวันดี ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ค่านิยม และความเชื่อดั้งเดิมของใคร
ในเมื่อเราเป็นพุทธศาสนิกชนพระท่านว่าเราคิดดี พูดดี ทำดี ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน วันไหนก็จะกลายเป็นวันและเวลาที่ดี สมัยทำรายการท่องเที่ยวที่จ.กระบี่ ปีนหน้าผาไปได้ครึ่งทางอยู่ๆ ก็นึกว่าวันนี้เป็นวันอะไร พอรู้ว่าเป็นศุกร์ที่ 13 ขาอ่อน ขาเลยสั่นพั่บๆ ปีนต่อไม่ได้ ดังนั้นทุกอย่างอยู่ที่ใจ ใจคิดว่ามันไม่ดี ก็จะไม่ดี
วันนี้คนไทยกำลังคอยว่าวันศุกร์ที่ 13 ก.ค. ผลการตัดสินของศาลจะออกมาเป็นอย่างไร จึงอยากให้มองแง่ดี
ในแง่ทางการเมืองก็เชื่อว่ากรณีของศาลรัฐธรรม นูญ ฝ่ายที่ร้องและฝ่ายที่ถูกร้องก็ไปให้เหตุผล เหตุผลทั้งสองฝ่ายปรากฏในที่สาธารณะ ไม่ได้มีแค่ศาลเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสิน

คนที่สนใจติดตามและเราเองก็มีความหวังว่าผลที่จะเกิดน่าจะเป็นผลที่ผ่านการใคร่ครวญ และมีความเป็นธรรมที่ไม่ขัดต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่

วิรัตน์ กัลยาศิริ
ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์
ยังไม่เชื่อว่าศุกร์ 13 จะมีอาถรรพ์ เพราะคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอาถรรพ์อะไร แต่ขอให้ศาลอยู่บนความถูกต้องทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย บ้านเมืองก็จะอยู่ได้ ที่สำคัญการตัดสินเป็นอย่างไร ศาลต้องอธิบายเหตุและผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ผบ.ทบ.
เรื่องศาลจะตัดสินวันศุกร์วันที่ 13 ก.ค. เรื่องอาถรรพ์ไม่รู้ ผมเคยดูแต่หนังเรื่องศุกร์ 13 แต่ถือเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นดุลยพินิจ ประเทศทุกประเทศต้องมีกฎหมาย ต้องมีศาล มีความยุติธรรม

บทความไทยโพสต์

อย่าให้พ่อกูกลับมาได้ก็แล้วกัน!


ไม่รู้ว่าผ่านตากันไปบ้างหรือยังกับบทความที่ชื่อ "ศาลเจ้า" ไม่ใช่ "ศาลราษฎร" ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่วางตลาดเมื่อสัปดาห์ก่อน
   
เนื้อหาน่าสนใจ ขอยกมาให้อ่านทั้งยวงนะครับ

    "
แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายตุลาการ เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ผูก?ไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์?เหมือนกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่?คลุมเครือในระบอบประชาธิปไต?ย เพราะพระมหากษัตริย์ที่เป็น?ฐานของความศักดิ์สิทธิ์นั้น? คือพระมหากษัตริย์ในระบอบอื่น ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
   
ศาลมักอ้างเสมอว่า พิจารณาพิพากษาคดี "ในพระปรมาภิไธย" ซึ่งแปลว่าอะไรไม่ชัดนักระห?ว่างผู้พิพากษาเป็นเพียง "ข้าหลวง" ที่โปรดให้มาทำหน้าที่แทน หรือพระปรมาภิไธยในฐานะที่เ?ป็นตัวแทนของอำนาจอธิปไตยขอ?งปวงชน  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ "The People" ในศาลอเมริกัน หรือ "The Crown" ในศาลอังกฤษ เช่นเดียวกับพระบรมฉายาลักษ?ณ์ที่ติดไว้ในห้องพิจารณาคด?ีของศาลทุกแห่ง หมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ห?รือบุคลาธิษฐานของอำนาจอธิป?ไตยซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทย
   
ความคลุมเครือเช่นนี้ลามไปถึงการแต่งกาย, ท่านั่ง, หรือคำพูดของผู้เข้าฟังหรือ?ร่วมในการพิจารณาคดีด้วย เช่น ห้ามแต่งกาย "ไม่เรียบร้อย", ห้ามนั่งไขว่ห้าง, ฯลฯ ทำให้ไม่ชัดนักว่าผู้เข้าฟั?งหรือร่วมในการพิจารณาคดี กำลัง "เข้าเฝ้า" หรือเพียงแต่อยู่ในห้องพิจา?รณาคดีของศาลในประเทศประชาธิปไตยกันแน่
    "
หมิ่นศาล" หมายถึงอะไรกันแน่ ระหว่างการหมิ่น "ข้า-หลวง" ซึ่งกำลังทำหน้าที่แทนพระเจ้าแผ่นดิน หรือ "ศาล" ในความหมายถึงกระบวนการพิจา?รณาคดี ที่หากไปขัดขวางด้วยประการต่างๆ ย่อมถือว่า "หมิ่น" เพราะทำให้กระบวนการดังกล่า?วไม่อาจดำเนินไปอย่างเป็นธร?รมแก่ทุกฝ่ายได้ ความคลุมเครือนั้นเป็นจราจร?สองทางครับ นอกจากทำให้ฝ่ายหนึ่งงงแล้ว? ก็ยังทำให้ตัวเองงงด้วย  อำนาจวินิจฉัยของศาลรัฐธรรม?นูญ หรือศาลอะไรก็ตามแต่ ในระบอบประชาธิปไตย ย่อมตั้งอยู่บนกฎหมายอย่างเ?คร่งครัด ไม่มากและไม่น้อยไปกว่าที่ก?ฎหมายกำหนด

   
แตกต่างจากรับสั่งของพระเจ้?าแผ่นดิน ซึ่ง "ข้าหลวง" ต้องตีความเอาเองว่า ทรงมุ่งประสงค์สิ่งใดกันแน่? แล้วก็ปฏิบัติให้ต้องตามพระ?ราชประสงค์
   
ความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของศาลเพิ่งสร้างขึ้นไม่นานมานี้เอง หาได้เป็นมรดกตกทอดมาจากยุค?โบราณไม่
   
แต่ความศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกส?ร้างขึ้นไม่ใช่เพื่อบรรลุเป้าหมายในการทำหน้าที่ของตนต?ามระบอบประชาธิปไตย
   
แต่สร้างขึ้นเพื่อทำให้พ้นจ?ากการถูกตรวจสอบ จึงเอาไปผูกไว้กับสถาบันพระ?มหากษัตริย์
   
ซึ่งย่อมอยู่พ้นไปจากการถูก?ตรวจสอบเช่นกัน"
   
อ่านบทความชิ้นนี้จบ ผมคิดไปหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะอนาคตของประเทศไทย
   
ถ้าวันหนึ่งรัฐธรรมนูญของประเทศไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล โฉมหน้าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

   
แต่ยืนยันว่าต่างจากปัจจุบันแน่นอน!
   
คำว่า "ในพระปรมาภิไธย" มีการให้คำนิยามกันค่อนข้างหลากหลาย  และถกเถียงในเชิงวิชาการมามาก แต่ความเข้าใจไขว้เขวก็ยังคงดำเนินอยู่เรื่อยๆ เช่นกัน
   
มีบทความอีกชิ้นที่อยากให้อ่านคือ ข้อเขียนของ นายสถิตย์ ไพเราะ ผู้พิพากษาอาวุโส

    "
เหตุใดกฎหมายรัฐธรรมนูญจึงบัญญัติว่า  การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต้องดำเนินการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ บัญญัติไว้เพราะเป็นไปตามแนวโบราณราชนิติประเพณีเดิมและเพื่อให้ศาลนำไปอ้างว่าเป็นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์หรือ นักกฎหมายควรจะต้องรู้ว่า ประเทศไทยปกครองโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นระบอบประชาธิปไตย และพยายามจะเป็นนิติรัฐ ไม่ใช่ปกครองตามแนวโบราณราชนิติประเพณี ซึ่งเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ฉะนั้นจึงต้องยึดรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดโบราณราชนิติประเพณีเป็นหลัก
   
เมื่อต้นปี  ๒๕๔๙ มีนักการเมืองและคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งทูลเกล้าฯ ขอนายกพระราชทานตามมาตรา ๗ ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ โดยอ้างประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสอธิบายผู้พิพากษาประจำสำนักงานศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน  ๒๕๔๙ ว่าข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมากที่เอะอะอะไรก็ขอพระราชทาน  นายกฯ พระราชทาน ซึ่งไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย ถ้าไปอ้างมาตรา  ๗ ของรัฐธรรมนูญเป็นการอ้างที่ผิด มันอ้างไม่ได้ มาตรา ๗ มี ๒ บรรทัด ว่า  อะไรที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญก็ให้ปฏิบัติตามประเพณีหรือตามที่เคยทำมา ไม่มี เขาอยากได้นายกฯ พระราชทาน เป็นต้น จะขอนายกพระราชทานไม่ใช่เป็นเรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นการปกครองแบบขอโทษพูดแบบมั่ว แบบไม่ ไม่ ไม่มีเหตุผล
   
ผมคิดว่าใครก็ตามที่ชอบอ้างโบราณราชนิติประเพณี และอ้างเลยไปถึงว่าเป็นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์ ควรจะอ่านพระราชดำรัสที่ผมอัญเชิญมาข้างบนนี้หลายๆ หน เพื่อจะได้เข้าใจใส่เกล้าฯ ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมากขึ้น โดยเฉพาะผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม เพราะมาตรา ๒๖  แห่งพระราชบัญญัติข้าราชการฝ่ายตุลาการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษาไว้ว่า ต้องเลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยบริสุทธิ์ใจ ถ้าไม่รู้ว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยคืออะไรก็คงเลื่อมใสไม่ถูกและขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้พิพากษา
   
ควรจะถามเสียก่อนว่า เหตุใดรัฐธรรมนูญจึงไม่บัญญัติว่า รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์เหมือนผู้พิพากษา  ตุลาการ ทั้งๆ ที่อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารมีความสำคัญมากกว่า  เพราะเป็นผู้มีอำนาจออกกฎหมายให้คนทั้งประเทศต้องปฏิบัติตามรวมทั้งศาลด้วย ดังกล่าวมาแล้ว หรืออย่างน้อยก็เท่ากับอำนาจตุลาการ ดังจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับบัญญัติถึงอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารไว้ก่อนอำนาจตุลาการตลอดมา และตำแหน่งเฝ้า ประธานรัฐสภาและนายกรัฐมนตรีก็นั่งหน้าประธานศาลฎีกา
   
คำตอบ ก็คือเมื่อในทางทฤษฎีหรือทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ กำหนดให้  พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา และอำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี หมายความว่าในทางปฏิบัติ รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีจะใช้อำนาจแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ ต้องทูลเกล้าฯ ให้องค์พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย  และประธานรัฐสภาหรือนายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ จึงจะถูกต้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ...
    ...
และมีความหมายด้วยว่า ผู้รับสนองพระบรมราชโองการต้องเป็นผู้รับผิดรับชอบในการออกกฎหมายนั้นๆ หรือในการปฏิบัติราชการบริหารนั้นๆ หากมีคนใดไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการจะไปวิพากษ์วิจารณ์องค์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ การปฏิบัติเช่นนี้ในทางปฏิบัติสามารถกระทำได้ เพราะงานของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารที่ต้องทูลเกล้าฯ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธยแต่ละปีมีไม่มาก ต่างกับงานของศาล ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ"
   
ที่จริงแล้วผมเห็นไม่ตรงกับท่าน นายสถิตย์ ไพเราะ ในหลายบทความของท่านที่เผยแพร่ในเว็บไซต์คณะนิติราษฎร์ แต่บทความชิ้นนี้ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์
   
เพราะในความจริงที่ว่าจะมีผู้พิพากษาสักกี่คนที่อ้างว่าตัวเองคือตัวแทนในหลวง และให้ปฏิบัติตัวกับเขาอย่างปฏิบัติกับสถาบัน อย่างที่บทความของอาจารย์นิธิเขียนถึง
 
    
ผมไม่เข้าใจว่าอาจารย์นิธิใช้ความคิดในมิติไหน มาเหมารวมว่า การแต่งกาย, ท่านั่ง, หรือคำพูดของผู้เข้าฟังหรือ?ร่วมในการพิจารณาคดีนั้นลามมาจาก ความศักดิ์สิทธิ์ที่ผูก?ไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์

   
รวมถึงพระบรมฉายาลักษ?ณ์ที่ติดไว้ในห้องพิจารณาคด?ีของศาลทุกแห่ง ที่อ้างว่าคือที่มาของความคลุมเครือ

   
อย่าว่าแต่ศาลเลยครับ โรงแรมหรูห้าดาวลองลากแตะไปดูซิครับ ยามมันจะถีบกระเด็นกลับออกมา

   
น่าจะมีสักครั้งในชีวิตการเป็นครูของอาจารย์นิธิ ที่มีนักศึกษาแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยเดินเข้าไปพบในห้องทำงาน และนั่งตัวตรงฝั่งตรงข้ามที่โต๊ะทำงานของอาจารย์นิธิ และนักศึกษาคนนั้นใช้วาจาสุภาพเรียบร้อย เพราะเขาระลึกว่ากำลังคุยกับอาจารย์ผู้พร่ำสอนให้ความรู้เขาอยู่

   
ผมว่าต้องมี!

   
และต้องมีนักศึกษาที่ก้าวร้าว ที่ใส่รองเท้าแตะเสื้อผ้ายับยู่ยี่มาพบในห้องทำงาน และใช้วาจาสามหาว ไม่รู้ใครศิษย์ใครอาจารย์
   
ทำนองเดียวกับที่นายโอ๊ค พานทองแท้ เขียนในเฟซบุ๊กว่า ไม่เป็นไรครับ...ขู่ได้ขู่ไป...อย่าให้พ่อกูกลับมาได้ก็แล้วกัน

   
ที่จริงผมว่า แค่หัวเรื่อง "ศาลเจ้า" ไม่ใช่ "ศาลราษฎร" ก็บ่งบอกทั้งหมดแล้วว่า อาจารย์นิธิคิดอะไร เพราะ ๒ ศาลนั้นไม่เคยมี เว้นแต่ศาลสถิตยุติธรรม

   
นอกจากเขาคนนั้นไม่พอใจระบอบที่เป็นอยู่ แล้วติไปเสียทั้งหมด หยิบมาแม้กระทั่งการแต่งตัวสุภาพเข้าศาล นั่นแหละครับถึงพูดเรื่องศาลเจ้า ศาลราษฎร  ในความหมายที่ไม่ต่างไปจาก สี่แยกราชประสงค์-ราษฎร์ประสงค์
 
   
ครับ! ศุกร์ 13 นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะไปเป็นแขกรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐในประเทศกัมพูชา ฟังดูแปลกๆ แต่ที่ไม่แปลกคือ บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกันมากันตรึม คงอยากแบ่งเค้กในอ่าวไทยให้เสร็จเร็วๆ

   
ผมเห็นข่าวเด็กกัมพูชาเสียชีวิตด้วยโรคลึกลับในเขมรแล้วถึง 64 ราย   ไม่ได้แช่งนะครับ ถ้าให้ผู้ใหญ่ไร้สำนึกตายเพราะโรคนี้แทน น่าจะเป็นการแลกที่คุ้มค่า แม้จะเป็นการแลกระหว่างผู้ใหญ่ไทยกับเขมรก็เถอะ.
                                         
ผัดกาดหอม

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทความไทยโพสต์

คลิปเสียงประธานสภาฯ สะท้อนให้เห็นอะไร


ขยายปมโดย  สม  มมร.


ยังไม่มีท่าทีอย่างเป็นทางการใดๆ ออกมาจากนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร จากพรรคเพื่อไทย หลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงของประธานสภาฯ ที่ไปพูดกับเครือญาติ คนใกล้ชิด หัวคะแนนของตัวเอง ในงานเลี้ยงวันเกิดล่วงหน้า เมื่อ 23 มิถุนายน 2555 ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งขณะนี้คลิปเสียงดังกล่าวได้เผยแพร่ต่อสาธารณชนอย่างกว้างขวางและตัวนายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ก็ออกมายอมรับว่านายสมศักดิ์ได้แจ้งกับแกนนำพรรคเพื่อไทยแล้วว่า คลิปเสียงดังกล่าวเป็นของประธานสภาฯ จริง
    สิ่งที่สังคมพูดและวิจารณ์กันมาก ก็คือเนื้อหาที่นายสมศักดิ์พูดในคลิปเสียงดังกล่าว ที่เป็นการแสดงให้เห็นการเมืองหลังฉากของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเรื่องสำคัญการเมืองหลายเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้มาก่อน
    โดยเฉพาะในเรื่องการเดินหน้าออก พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่เนื้อหาในคลิปดังกล่าวบอกให้สังคมได้ล่วงรู้หลายเรื่อง โดยเฉพาะการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัดสินใจในเรื่องกฎหมายปรองดองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เนื้อหาซึ่งนายสมศักดิ์พูดในคลิปดังกล่าว จะพบว่าทั้งสองเรื่องรัฐบาลทำไปโดยที่คำนึงถึงเรื่องการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ และการทำอย่างไรให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์อยู่รอดได้
    ซึ่งหลายเรื่องก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เช่น การตัดสินใจในเรื่องการจะเปิดหรือปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาล ซึ่งอำนาจส่วนนี้เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการออกพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมสภาฯ แต่ปรากฏว่าเนื้อหาในคลิปดังกล่าวจะพบว่าคนที่มีส่วนตัดสินใจจริงๆ ก็คือพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้รัฐบาลยังไม่ต้องปิดสมัยประชุมสภาฯ โดยจะให้รอไปจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมาก่อน แต่นายสมศักดิ์ได้พูดในคลิปเสียงดังกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โทรศัพท์มาหารือเรื่องนี้ ซึ่งก็ได้แนะนำว่าควรมีการปิดสมัยประชุมสภาฯ ไปก่อน จนในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็มีการออกพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติไปเมื่อเร็วๆ นี้
    ขณะเดียวกัน เนื้อหาในคลิปเสียงดังกล่าวก็แสดงให้เห็นถึงแผนการของรัฐบาลและประธานสภาผู้แทนราษฎร ในการวางเกมเรื่องการเดินหน้าออกกฎหมายปรองดอง ซึ่งก่อนหน้านี้ประธานสภาฯ เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าควรที่จะมีการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ออกไปจากระเบียบวาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก่อน โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นในสังคมไทย
    แต่แล้วเนื้อหาในคลิปเสียงดังกล่าว ก็ทำให้สังคมได้เห็นกันว่าประธานสภาฯ คนนี้ แท้ที่จริงแล้ว เหตุที่มาบอกให้ควรมีการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ออกไปก่อน เป็นเพราะประธานสภาฯ มองว่าหากจะเดินหน้าต่อไปจะเกิดแรงต้านมาก และจะทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับประเทศไทยได้ยาก จึงควรถอนออกไปสัก 6 เดือน แล้วก็ไปทำการรณรงค์กับประชาชนทั่วประเทศเพื่อเอาประชาชนมาเป็นกำแพงปกป้องรัฐบาลในการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ
    เท่ากับเป็นการแสดงให้เห็นว่าประธานสภาฯ มองว่าการจะเสนอกฎหมายปรองดองของรัฐบาลจะเป็นการช่วย ทักษิณ ชินวัตร ให้กลับประเทศไทยได้ แต่จะต้องเอาประชาชนมาเป็นกำแพงสนับสนุนให้ตัวเองได้รับประโยชน์
    แล้วก็ยังมีอีกหลายประเด็นทางการเมืองที่เปิดเผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของประธานสภาฯ จากเนื้อหาในคลิปเสียงดังกล่าวที่เห็นชัดว่าประธานสภาฯ ขาดความเป็นกลาง คิดและทำกิจกรรมทางการเมือง โดยคำนึงถึงแต่ความอยู่รอดของพวกเดียวกันในพรรคเพื่อไทย วางตัวไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด อย่างเช่นที่บอกว่าไปร่วมกิจกรรมประชุมกับคณะยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยหลายครั้ง ซึ่งแม้นายสมศักดิ์จะเป็น ส.ส.ขอนแก่น ของเพื่อไทย แต่ด้วยความที่เป็นประธานสภาฯ การวางตัวก็ต้องรักษาระยะห่างของตัวเองด้วย ไม่ใช่ทำแบบที่เป็นอยู่ในเวลานี้
    มาถึงตอนนี้ สถานการณ์ยอมรับของสมศักดิ์จึงอยู่ในสภาพที่มีปัญหาอย่างมาก แม้ต่อให้เจ้าตัวเพิกเฉยไม่สนใจต่อเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้น แต่การจะทำหน้าที่ต่อไปของนายสมศักดิ์มีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน.