วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์ไทยโพสต์

พม่ารู้ทางที่ต้องเดิน แต่ไทยยังไร้ทางออก
สภาพม่าผ่านร่างกฎหมาย การลงทุนจากต่างชาติฉบับใหม่เมื่อวานนี้(7 ก.ย.) ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่นักลงทุนจากต่างชาติ
  รวมทั้งนักธุรกิจไทยเฝ้ารอคอยมานาน แม้ที่ผ่านมา การลงทุนอาจจะไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจน แต่นักลงทุนมักจะเข้าไปร่วมกับรัฐบาลทหารของพม่า ดังนั้นหากกฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ก็หมายความว่าพม่าจะเปิดรับการลงทุนต่างชาติโดยมีกฎหมายคุ้มครองและมีกติกาการลงทุนที่ชัดเจน ซึ่งหากย้อนไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในพม่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว
 หากย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ได้ประกาศจะปฏิรูปหลายด้าน ต่อมามีการจัดการเลือกตั้ง และพม่าได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากพลเรือน ซึ่งถือเป็นการปิดฉากยุครัฐบาลทหารที่ปกครองประเทศมาร่วม 50 ปี  หลังจากเปิดโอกาสทางการเมืองในประเทศ พม่าได้เปิดรับบริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆมากขึ้น นั่นแสดงให้เห็นว่าพม่ากำลังเร่งปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง และหากยังดำเนินนโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจการเมืองครั้งใหญ่อีก 1-2 ปี พม่าจะไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมได้
 คนไทยจำนวนไม่น้อยมองพม่าหรือเพื่อนบ้าน ด้วยสายตาดูถูกเมื่อเทียบกับการพัฒนาของไทย บางคนถึงกับพูดว่ากว่าจะพัฒนาทันประเทศไทยต้องใช้เวลา 20-30 ปี แต่จากที่เห็นการเปลี่ยนในพม่าในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันมากจากภาพที่มีการประท้วงและทหารกวาดล้างกลางเมืองหลวงเมื่อ 2-3 ปีก่อน ซึ่งขณะนี้เราเห็นพม่าเดินหน้าปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังในแทบทุกด้านที่เห็นว่ามีความจำเป็น รวมทั้งการยกเลิกปิดกั้นข้อมูลข่าวสารด้วยการเปิดรับนักท่องเที่ยวและสื่อเข้าประเทศอย่างเสรี
 หากดูการเปลี่ยนแปลงในพม่า แล้วย้อนกลับมาดูสังคมไทย เราอาจจะเห็นว่าในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงนั้น สังคมไทยแทบจะไม่มีการปฏิรูปกฏกติกาทางสังคมการเมืองใดๆเลย บางคนถึงกับบอกว่าสังคมไทยได้หยุดนิ่งในการพัฒนาแทบทุกด้าน แม้แต่การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานก็หยุดไปด้วย เนื่องจากคนไทยมัวแต่มายุ่งกับความขัดแย้งทางการเมือง และความขัดแย้งนี้เองก็เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าของประเทศ
 ความขัดแย้งทางการเมืองทำให้การเปลี่ยนแปลงของประเทศแทบจะหยุดนิ่ง ในขณะที่โลกภายนอกเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ดังจะเห็นได้จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับการเมืองนั้นจะพบว่ามีอยู่ไม่กี่เรื่อง อาทิ ความเคลื่อนไหวของอดีตผู้นำบางคนในต่างแดน ความขัดแย้งระหว่างคนสีนั้นกับสีนี้ เป็นต้น แม้แต่การพูดคุยของคนไทยในชีวิตประจำวันก็มักจะมีเรื่องเหล่านี้เข้ามาเป็นประเด็นเสมอ นั่นแสดงให้เห็นว่าเราแทบไม่เปลี่ยนแปลงต่อประเด็นปัญหาของประเทศเลย
 หากเราดูเพื่อนบ้านอย่างพม่า และที่เราดูถูกว่าเขาล้าหลังกว่าไทย แต่เราก็ยังเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแทบทุกวัน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการพัฒนาประเทศ ในขณะที่เราเองแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงใดๆเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราเห็นว่ากรณีของพม่านั้น ผู้นำทางการเมืองเขารู้ว่าประเทศต้องการอะไรและจะพัฒนาไปทางไหน แต่ผู้นำทางการเมืองเรายังไม่มีความชัดเจนว่าจะนำพาประเทศไปอย่างไร นอกจากปล่อยไปตามกระแสโลก เมื่อไม่รู้ว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร อาจเป็นคำตอบว่าการเมืองไทยแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยในช่วง 4-5 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น