วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทความคมชัดลึก

ไปข้างหน้าก็ไม่ได้ทางถอยก็ไม่มี
ขยายปมโดยสม  มมร.
วันเปิดประชุมสภาที่กำลังจะมาถึงนี่ มีเรื่องราวให้ฝั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มสมองเพชรในพรรคเพื่อไทย ให้ต้องขบคิดหาช่องทาง วิธีการแก้เหลี่ยม ที่ศาลรัฐธรรมนูญทิ้งทุ่นเอาไว้ในกรณีคำวินิจฉัยแก้รัฐธรรมนูญ

               ถึง นพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะบอกว่า เหลือแค่ 2 ทางเลือก คือ แก้รายมาตรา หรือทำประชามติในวาระ 3 พร้อมกับแก้บางมาตราไปด้วย แต่ก็ชัดเจนว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาอยู่รอพิจารณาวาระ 3 นั้น คงจะจบลงแต่เพียงเท่านี้

               ที่จะพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลในวันอังคารที่ 31 กรกฎาคม ก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า ถ้าจะแก้ แล้วจะเอาที่มาตราไหนดี

               บางพรรคอาจติดใจมาตรา 237 เรื่องยุบพรรค บางพรรคอาจคาใจมาตรา 68 ที่ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งจะให้บทเรียนไปสดๆ ร้อนๆ

               แต่สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว คงไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เท่ากับ มาตรา 309 เป็นแน่ เพราะเกี่ยวข้องกับคดีความของตนเองโดยตรง

               ปัญหาก็คือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาลจะกล้าแตะมาตรานี้หรือ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามจ้องจะเอาอยู่แล้วว่า แตะเมื่อไหร่ เจอกันบนถนนเมื่อนั้น เพราะนอกจากคดีความของพ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว มาตรา 309 ยังกระทบไปกว้างไกลแทบทุกองค์กร โดยเฉพาะองค์กรอิสระที่มีการสรรหา คัดเลือกกันในช่วงหลังเหตุการณ์ยึดอำนาจเมื่อปี 2549

               อย่างไรก็ตาม หากชาวบ้านฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลเอาด้วยกันเยอะๆ มันก็อาจจะเป็นหนังคนละม้วน

               ระหว่างนี้การรณรงค์ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นผลไม้พิษ เพราะกำเนิดจากต้นไม้พิษก็คงจะดังกระหึ่ม

               มีคำถามว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาอยู่ในสภานั้นจะทำอย่างไร คำตอบก็คือ หากไม่อยากให้เกิดความยุ่งยาก ก็ปล่อยตายซากอยู่อย่างนั้น ในเมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญบอกแล้วว่า การแก้รัฐธรรมนูญแบบนั้นมีแนวโน้มสูงว่า ไม่ถูกต้อง

               เพียงแต่ที่ยังไม่ฟังธงเพียะพะก็เพราะ "กระบวนการ" มันยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ที่รีบออกมาก่อนไม่ปล่อยให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็เพราะมันจะยุ่งยากเกี่ยวพันไปถึงหลายฝ่าย แล้วการแก้ไขมันจะซับซ้อนจนกลายเป็นวิกฤติของประเทศได้

               ทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงไม่ต้องถามว่า "คนดูไบ" จะแฮปปี้ด้วยหรือไม่

               คนที่ไปดูไบด้วยเรื่องเก้าอี้ ต่างก็กลับมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีแต่อาการหงุดหงิด ยิ่งหงุดหงิดก็ยิ่งมองหาทางไปไม่เจอ เพราะแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องว่ากันเป็นรายมาตรา จะลากกฎหมายปรองดองผ่านสภาก็ดันเจอเสียงเตือนจากหลายฝ่าย จนต้องถอยกรูด

               จะเดินหน้าชนดะไปทุกเรื่องก็ทำไม่ได้ เพราะหายนะจะมาเยือนก่อนกำหนด ครั้นจะปล่อยให้รัฐบาลนี้ลากยาวๆ น้องสาวก็ดูไม่ได้ดั่งใจ

               ทำไปทำมาสิ่งที่อยากจะทำมันดันเป็นการไปเพิ่มเงื่อนไขให้เรื่องที่มันหนักอยู่แล้วสาหัสมากขึ้น

               ทางเดียวที่ "คนดูไบ" ทำได้ก็คือ ผ่อนคลาย ปล่อยวาง เพื่อให้ห้วงเวลานี้ผ่านพ้นไปก่อน ขืนบุ่มบ่ามไป เข้าทางฝ่ายตรงข้ามรุมกระหน่ำรัฐบาลน้องสาวที่ซวนทรุดอยู่แล้วพังพาบลงจะทำอย่างไร

               สภาพปัญหาของรัฐบาลในขณะนี้ เรื่องเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องใหญ่ พวกขาใหญ่ที่ดึงมาช่วยก็ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นกว่าเก่า ตื่นเช้ามาก็มีแต่ทรงกับทรุด

               นโยบายที่ฟังแล้วดูดีอย่างเรื่องจำนำข้าว แต่พอทำไปแล้วก็ส่อเค้าว่าจะไปสร้างวิกฤติการเงินรอบใหม่ให้แก่ประเทศเสียมากกว่า เพราะทีดีอาร์ไอก็ศึกษามาแล้วว่า ลงไป 100 บาท ถึงมือชาวนาแค่  17 บาท แต่รัฐบาลก็ตะบี้ตะบันทำกันต่อ

               ก็ใช้เงินเก่งขนาดนี้ รัฐบาลจึงมองหาช่องทางเงินกู้ หรือไม่ก็เปิดคลังหลวงเอาเงินมาใช้

               นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ กรณีเขาพระวิหารที่ทำท่าว่าจะพลาดแบบแรงๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เรื่องไฟใต้ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ จนมีคลิปประจานไปทั่วโลก ก็ไม่ได้กระตุ้นให้รัฐบาลออกมาตรการใดๆ มากไปกว่านี้ ทั้งที่ความจริง มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นเลขาฯ ศอ.บต.อยู่ทั้งคน แต่ภาพที่ออกมากลับตอกย้ำความเป็น "รัฐตำรวจ" มากกว่าจะไปแก้ปัญหาให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

               แทนที่จะเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศ แต่รัฐบาลกำลังจะกลายเป็นวิกฤติของประเทศเสียเอง

               ในวันนี้ไม่มีใครการันตีว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ครบเทอม

               ไม่ใช่เพราะมีกลุ่มคนที่บ่อนทำลายอย่างที่พยายามป่าวร้องให้ชาวบ้านเชื่อ หากแต่ดูกันแบบเนื้อๆ ว่า ที่รัฐบาลกำลังบริหารงานอยู่นั้น ถามว่า มีอะไรที่พอจะนำพาชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นวิกฤติได้บ้าง

               ศึกซักฟอกที่กำลังจะมีขึ้นในวันข้างหน้านี้ จะเป็นบทพิสูจน์ แต่ถ้าให้พูดในวันนี้ สภาพที่เป็นอยู่คือ "ไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ทางถอยก็ไม่มี"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น