วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์การเมือง:โพสต์ทูเดย์

ของแพง...รัฐบาลอยู่ได้ "ยิ่งลักษณ์" อย่าคิดไปเอง
ขยายปมโดย...ส.มมร.
หากได้เป็นรัฐบาลจะไม่ทำให้ผิดหวัง และสิ่งแรกที่จะทำคือ กระชากค่าครองชีพคืนมา ทำให้ราคาน้ำมันลดลง เบนซิน 95 ลดลง 7.5 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ลดลง 6.7 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลดลง 2.2 บาทต่อลิตร
เป็นวรรคทองออกจากปากของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2554 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน เพื่อเรียกคะแนนความเห็นใจโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. จนนำมาสู่การเป็นผู้บริหารสูงสุดของประเทศในปีเดียวกัน
ยุทธศาสตร์คำพูดของยิ่งลักษณ์ดังกล่าว มีจุดประสงค์เพื่อต้องการเกทับพรรคประชาธิปัตย์คู่แข่งสำคัญ พร้อมกับตอกย้ำว่าประเทศไทยในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถแก้ปัญหาค่าครองชีพได้ ต้องให้พรรคเพื่อไทยเท่านั้น ถึงจะมียาดีรักษาโรคของแพงได้
จนแล้วจนรอดผ่านมาจะครบขวบปีจากการสร้างวาทกรรม กระชากค่าครองชีพลงมากลายเป็นปล่อยค่าครองชีพขึ้นไป
ไล่มาตั้งแต่ราคาน้ำมัน แม้ว่าการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในระยะแรกของการเป็นรัฐบาล จะช่วยให้ราคาน้ำมันลดลงอย่างฮวบฮาบ แต่กลับทำได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น สุดท้ายต้องกลับมาจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ และราคาน้ำมันก็ยังคงแพงเหมือนเดิม
เมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง แน่นอนว่าได้สร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ เพราะราคาพลังงานถือเป็นต้นทุนของสินค้าอุปโภคและบริโภคของประชาชนทุกระดับ ทั้งมหาเศรษฐีหรือคนหาเช้ากินค่ำ เมื่อน้ำมันขึ้นหนีไม่ได้ที่ค่าขนส่งและราคาสินค้าต้องดีดตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
การแก้ปัญหาพลังงานจากรัฐบาล คือ การปรับ “พิชัย นริพทะพันธุ์ออกจากตำแหน่ง รมว.พลังงาน พ้นวงโคจรคณะรัฐมนตรี
ขณะที่การส่งสัญญาณจากรัฐบาลให้ประชาชนเห็นถึงความเอาใจใส่ต่อการแก้ปัญหาเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าไร้ซึ่งรูปธรรมที่จับต้องได้
เริ่มมาตั้งแต่ “กิตติรัตน์ ณ ระนองรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถมควบตำแหน่งเป็นแม่ทัพให้รัฐบาล ประกาศว่าราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น...แต่ถือเป็นสภาวะความเป็นจริงที่ประชาชนต้องปรับตัวรับให้ได้...เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจเปิด
กระทั่งมาถึงท่าทีล่าสุดของ ยิ่งลักษณ์เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ต่อปัญหานี้ ปรากฏว่าถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อรัฐบาลอย่างคาดไม่ถึง
สินค้าราคาแพงสาเหตุมาจาก 2 ส่วน คือข้อมูลที่เก็บจากข้อเท็จจริง และส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้สึกของประชาชน... ผลพวงอุทกภัยน้ำท่วมที่ผ่านมา ประกอบกับช่วงเดือน เม.ย.อากาศร้อน และเป็นเดือนที่มีค่าใช้จ่ายมาก เช่น ลูกต้องเรียนหนังสือ


ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้ประชาชนต้องทำใจภายใต้มาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยไม่มีหลักประกันว่าการจ่ายยาของรัฐบาลจะรักษาถูกโรคทางเศรษฐกิจหรือไม่
การสื่อสารกับสังคมลักษณะนี้ ไม่ต่างอะไรกับการทำให้ประชาชนตั้งคำถามมายังรัฐบาล 2 ข้อใหญ่ ได้แก่ ลอยตัวกับปัญหาหรือไม่และ ปัดความรับผิดชอบหรือไม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแทนที่จะช่วยแก้ปัญหาแต่เป็นการซ้ำเติมสถานการณ์หนักขึ้นไปอีก ยิ่งตอกย้ำไม่สามารถทำได้ในสิ่งที่หาเสียงกับประชาชนไว้ เปรียบได้กับว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” หลังจากครั้งหนึ่งเคยบอกว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ของแพง แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลก็เป็นลักษณะ “ดีแต่พูดเหมือนกัน
ชี้วัดได้จากผลสำรวจของศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เรื่องประเมินผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลในรอบ 9 เดือนพบว่า นักเศรษฐศาสตร์ประเมินผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลได้แค่ 3.83 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10
การเลือกบริหารภาพลักษณ์มากกว่าการบริหารสถานการณ์ของนายกฯ กำลังเป็นจุดอ่อนสำคัญที่กัดกินความมั่นคงของรัฐบาลเอง หลังจากได้สื่อสารกับประชาชนแบบผิดๆ ถูกๆ มาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่วิกฤตมหาอุทกภัยเรื่อยมาจนถึงปัญหาเศรษฐกิจ
ถึงนายกฯ จะมีจุดแข็งตรงที่ไม่ลงมาตอบโต้กับฝ่ายค้าน และเล่นบทนางเอกผู้แสนดีแทนนางเอกนักบู๊ ใช่ว่าจะเรียกคะแนนความสงสารได้ตลอดไป ยิ่งปัญหาของแพงที่เป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชนยังไม่ได้รับการเยียวยาเร็วเท่าไหร่ ความเชื่อมั่นที่มีต่อนายกฯ ย่อมลดลงมากขึ้นเท่านั้น
ที่สำคัญ “เวทีนิติบัญญัติซึ่งรัฐบาลควรใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการชี้แจงให้ประชาชนรับทราบถึงมาตรการของรัฐบาลผ่านการเปิดโอกาสให้ สส.รัฐบาล หรือฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถามสด พบว่าใช้เวลาหมดไปกับเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เวลาที่หมดไปกว่า 10 วัน ฝ่ายค้านได้ฉวยโอกาสใช้เป็นเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เรื่องของแพงแบบออกอากาศให้ประชาชนติดตามแบบข้ามวันข้ามคืน จากคนที่ไม่เชื่อก็กำลังจะเชื่อและคนจากกำลังจะเชื่อก็ได้เชื่อฝ่ายค้าน เพราะค่าครองชีพเป็นความอ่อนไหวและสัมผัสได้ จับต้องได้ของคนทั้งประเทศ
ไม่เพียงเท่านี้ ภาพของการใช้รัฐสภาเพื่อแก้รัฐธรรมนูญหลายวันที่ผ่านมา ย่อมสร้างให้สังคมมองการทำงานของรัฐบาลว่าการแก้ปัญหาการเมืองสำคัญกว่าการแก้ปัญหาประเทศ
เท่ากับว่าการขยายเวลาปิดสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติออกไปจากวันที่ 18 เม.ย.แบบไม่มีกำหนด เพื่อตอบสนองเกมการเมืองของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
ความบกพร่องเหล่านี้ อาจจะยังไม่มีผลกระเทือนมายังรัฐบาลโดยตรงในระยะนี้ทันที เนื่องจากรัฐบาลอาจคิดไปเองว่ามีเสียงข้างมากในรัฐสภา ผนวกกับมีคนเสื้อแดงเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ยังไงรัฐบาลก็ไม่มีวันล้ม
อย่างไรก็ตาม เชื่อได้เลยว่านานวันไปจะสะสมพอกพูนจนเป็นภูเขาน้ำแข็ง ที่รัฐนาวายิ่งลักษณ์พุ่งเข้าชนโดยไม่รู้ตัว โดยมีบทเรียนให้เห็นแล้วจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกุมเสียงในรัฐสภามากกว่า 300 เสียง แต่ก็อยู่ไม่ได้จนต้องประกาศยุบสภา
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่รัฐบาลต้องเลิกคิดไปเองว่าจะอยู่ได้ท่ามกลางปัญหาของประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น