วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์ไทยโพสต์;เปลวสีเงิน

'พรบ.ยึด ๓ พระราชอำนาจสูงสุด'

ขยายปมโดย  สม มมร

ทำไป-ทำมา พ.ร.บ.ปรองดองมีถึง ๓ ฉบับ คือฉบับของพรรคมาตุภูมิ ฉบับของพรรคเพื่อไทย และฉบับของแก๊ง นปช. โดยนายจตุพรบอกว่า จะให้นายณัฐวุฒิเป็นผู้เสนอ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ติ่งเอาไว้ "ออกตัว" กับเสื้อแดงว่า....ขึ้นฝั่งแล้ว ข้าไม่ได้ถีบหัวเรือส่งนะ แต่จะกี่ฉบับก็ช่าง ทุกอย่างสรุปลง "ประเด็นเดียว" คือ ล้มทุกคดีใน คตส.-ล้างทุกคำตัดสินศาล และโละทุกโทษทักษิณ แล้ว...คืนสมบัติ!
    เห็นบอกว่าที่ประชุมพรรคเพื่อไทยจะให้ประธานสภาฯ เลื่อนวาระ เอา พ.ร.บ.ทั้ง ๓ ฉบับมาพิจารณารวมกันทีเดียวเลยในการประชุมวันพุธที่ ๓๐ พ.ค.นี้
    ก็ดีน่ะซี...ขอให้มันจริงเหอะ!
    พ.ร.บ.ทั้ง ๓ ฉบับที่ชิงกันเสนอเอาความดี-ความชอบจากนายใหญ่นี้ จะว่าไปแล้ว มันไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.ล้างโทษให้ทักษิณเท่านั้น หากแต่นี่คือ การเริ่มต้นรวบอำนาจ ๓ สถาบันหลักของชาติให้ปรากฏเป็นรูปธรรม
    ตามนัยที่ยิ่งลักษณ์ตั้งให้ "นายอุกฤษ มงคลนาวิน" เป็นประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ศึกษาแนวทางรวมอำนาจรัฐสภา-ครม.-ศาล-องค์กรอิสระ-หน่วยงานรัฐ
    รวมศูนย์ที่ "ระบอบทักษิณ"!?
    ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้ทราบ ถ้า พ.ร.บ.ปรองดองออกมาใช้เป็นกฎหมายได้วันไหน วันนั้น ไม่ใช่แค่วัน "ล้มแล้วยึด" อำนาจสถาบันตุลาการ คือศาลเท่านั้น
    ยังเป็นวัน "ล้มแล้วยึด" อำนาจสถาบันบริหาร คือรัฐบาล และ "ล้มแล้วยึด" อำนาจสถาบันนิติบัญญัติ คือรัฐสภาด้วย เพราะการบงการให้รัฐสภาออกกฎหมายอย่างนั้น-อย่างนี้ได้ตามใจชอบ นั่นเท่ากับ "ระบอบทักษิณ" อาศัยคราบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ยึดอำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติไว้ในกำมือแล้ว
    พร้อมกับใช้ "อำนาจในกำมือนั้น เลาะตามตะเข็บบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ" ล้มแล้วยึด "อำนาจสถาบันศาล" ไว้ในกำมือเป็นแห่งสุดท้ายได้เสร็จสมบูรณ์อีกด้วย!
    แบบไหน-อย่างไร?
    ก็แบบนี้-อย่างนี้ไงล่ะ พ.ร.บ.ปรองดองหรือ พ.ร.บ.ล้างโทษทักษิณนี้ มันเป็นความร่วมมือกันของรัฐบาลกับรัฐสภาระบอบทักษิณ ลบล้างกระบวนการยุติธรรม ลบล้างระบบศาล ลบล้างกระทั่งคำพิพากษาศาลที่ตัดสินไปแล้วทั้งหมด ให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ "ระบอบทักษิณ" ต้องการ!
    ลองคดีที่ศาลตัดสินไปแล้ว ระบอบทักษิณจะยกเลิก จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างใด-อย่างหนึ่งตามที่ต้องการได้ แล้วต่อไปนี้ ประเทศชาติ-ประชาชนจะยึด-จะพึ่งอะไร เป็นแกนยุติแห่งปัญหาทั้งปวง?
    -ศาลอื่นใด ก็เป็นที่พึ่งเด็ดขาดไม่ได้
    -รัฐบาลอื่นใด ก็เป็นที่พึ่งเด็ดขาดไม่ได้
    -รัฐสภาอื่นใด ก็เป็นที่พึ่งเด็ดขาดไม่ได้
    ต้องเป็นศาล "ระบอบทักษิณ" เท่านั้น เป็นที่พึ่งเด็ดขาดได้
    ต้องรัฐบาล "ระบอบทักษิณ" เท่านั้น เป็นที่พึ่งเด็ดขาดได้
    ต้องรัฐสภา "ระบอบทักษิณ" เท่านั้น เป็นที่พึ่งเด็ดขาดได้!
    แล้วยังจะมีประชาชนคนไหน ทั้งไทย-ทั้งโลก เคารพเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมืองไทยอยู่อีกมั้ย...แบบนี้ ถนนทุกสายมุ่งเข้าหา "ระบอบทักษิณ" ดีกว่า-ชัวร์กว่า
    เพราะ "ระบอบทักษิณ" เป็นศูนย์รวมทุกอำนาจของประเทศ ทั้งอำนาจบริหาร-อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ
    "วันสต็อปเซอร์วิส" ว่างั้นเถอะ!
    อำนาจระบอบทักษิณเท่านั้น ที่จะสามารถ "ชี้ต้นตาย-ชี้ปลายเป็น" ทุกอย่างในประเทศไทย จะดลบันดาลให้ได้ทุกประการ ขึ้นอยู่กับความพอใจ-ไม่พอใจของระบอบทักษิณเท่านั้น
    เหมือนระบบตำรวจตอนนี้ พวกเสื้อแดงระดับแกนบางพื้นที่ เปิดสถานบริการได้ตั้งแต่เย็นยันสว่าง ตั้งแต่สว่างยันเย็น ตำรวจท้องที่ไหนทำงานตงฉินไปตรวจจับ ฝ่ายตำรวจนั่นแหละจะเจอข้อหา "ขัดขวางการทำผิดกฎหมายของคนระบอบทักษิณ"
    มันฟ้องพ่อทักษิณ จะถูกย้ายกระเด็นภายใน ๒๔ ชั่วโมง!
    นี่แหละ...อำนาจระบอบทักษิณ ตำรวจยังต้องยืนกุมไข่ตะเบ๊ะพวกที่เคยเผาบ้าน-เผาเมือง ทุบรถ ไล่ตีนายกฯ อภิสิทธิ์ให้ตอนนั้น วันนี้....ตำรวจหน้าไหนไปจับพวกเขา รู้ถึงหูพ่อทักษิณ ระดับผู้บัญชาการก็เถอะ หนาววววจนไข่หด บอกไม่เชื่อ?
    สรุปก็คือ ถ้าสภาระบอบทักษิณผ่านกฎหมายล้างโทษให้ทักษิณได้ ไม่ใช่แค่กระสุนนัดเดียวได้นกตัวเดียวหรือสองตัว หากแต่ระบอบทักษิณได้ยึดครอง ๓ อำนาจบริหารประเทศ คือเท่ากับ "ยึดประเทศ" ไว้ได้ในกำมือนั่นเลยเชียว!
    เอ้า...ทุกคนก็เรียนหนังสือกันมา จบชั้นสูงบ้าง-ชั้นต่ำบ้าง แต่จำด้วยเข้าใจกันใช่มั้ยว่า "อำนาจทั้ง ๓" นั้น เป็นของใคร แต่ถ้าขืนปล่อยให้ระบอบทักษิณยึด ๓ อำนาจนั้นรวมศูนย์ที่พวกเขา แบบนั้นหมายถึงอะไร?
    มันไม่ซับซ้อนเกินเข้าใจหรอก ถ้าคิดซักนิด ก็ไม่เป็นไร....ผมจะนำความบางตอนในปาฐกถาพิเศษของ "ท่านอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ" องคมนตรี เมื่อปี ๒๕๕๔ ที่รามาการ์เด้น ในหัวข้อเรื่อง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการทรงใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ" มาให้อ่านเพื่อเข้าใจกัน ดังนี้
    “ประเทศไทยมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมายาวนาน โดยในอดีต เป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยพระมหากษัตริย์ทรงพระราชอำนาจสูงสุดแต่เพียงพระองค์เดียว แต่หลังจากวันที่ ๒๔ มิ.ย. พ.ศ.๒๔๗๕ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อาจเรียกได้ว่าเป็นการปกครองแบบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยพระมหากษัตริย์ทรงจำกัดพระราชอำนาจของพระองค์เอง โดยการพระราชทานในรัฐธรรมนูญ
    ในอดีตรัฐธรรมนูญ 6 ฉบับ ไม่ว่าจะเป็นฉบับถาวรหรือฉบับชั่วคราว พระมหากษัตริย์เป็นผู้พระราชทานให้ พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจของพระองค์ภายใต้รัฐธรรมนูญและพระราชทานพระราชอำนาจสูงสุดไปสู่ปวงชนชาวไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับบัญญัติว่า อำนาจประชาธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
    พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้แสดงให้เห็นว่า ตามกฎหมายนั้นอำนาจประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศชาติอยู่ที่พระมหากษัตริย์และประชาชน
    โดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้น ผ่านทางฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ ซึ่งแต่ละฝ่ายเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการตามรัฐธรรมนูญ
    เข้าใจกันชัดแล้วใช่ไหมครับ เอ้า...แล้วดูเนื้อหา พ.ร.บ.ล้างโทษทักษิณ มันไม่ใช่แค่นิรโทษกรรม หากแต่มันย้อนลงไปล้มล้างกระทั่งคำตัดสินศาลทั้งที่ตัดสินไปแล้ว อันเป็นคำตัดสินภายใต้พระมหาปรมาภิไธยเลยทีเดียว
    ท่านวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พูดถึงเรื่องนี้ว่า
    "การเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ที่สาระสำคัญให้มีการยกเลิกคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ดำเนินการไว้ เป็นการยกเลิกแบบเบ็ดเสร็จไปถึงอำนาจตุลาการด้วย
    ขณะที่กฎหมายของต่างประเทศ การที่จะให้ยกเลิกการกระทำของฝ่ายตุลาการเลยนั้น ไม่เคยมี หาได้ยากในประเทศบนโลกนี้ ซึ่งเท่าที่ผมได้ตรวจสอบพบว่า กระบวนการใดที่ทำจนถึงที่สุดแล้ว เขาจะใช้วิธีการอภัยโทษหรือนิรโทษกรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าย้อนกลับไปเริ่มต้นที่จุดเดิม แล้วจะมาบอกว่าที่ทำไปแล้วนั้นใช้ไม่ได้เลย อย่างนั้นไม่มี
    หากมีการดำเนินการให้ยกเลิกอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันจริง ย่อมส่งผลกระทบถึงความคิดของประชาชนว่า ระบบความยุติธรรมไม่ได้รับความเชื่อถือ และไม่ได้รับความเคารพอีกต่อไป โดยเฉพาะศาลยุติธรรม ระบบตุลาการ ซึ่งตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งได้วางระบบตุลาการ โดยห้ามมิให้อำนาจอื่นมาแทรกแซงเป็นอันขาด ตรงนี้ย่อมกระทบจิตใจประชาชนที่ต้องการให้ศาลยุติธรรมเป็นที่พึ่ง
    ฝ่ายตุลาการปกติจะนิ่ง จะไม่โวยวาย ถือศักดิ์ศรีและเกียรติศักดิ์ที่ได้รับการยอมรับมาเป็นเวลายาวนาน แต่ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับประชาชนมากกว่าที่จะยอมได้หรือไม่ ที่จะให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น ตอนนี้ก็ได้แต่รอฟัง เพราะร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ได้เข้าสภาฯ ซึ่งอาจจะเป็นการโยนหินถามทางก็ได้ โดยหลักการอำนาจนิติบัญญัติ และบริหารจะไม่เข้ามาแทรกแซงอำนาจตุลาการ
    แม้แต่ยุครัฐประหารหรือปฏิวัติ รวมถึงยุคที่บ้านเมืองปกครองโดยเด็ดขาด ก็จะไม่มีการเข้ามาแทรกแซง เช่น สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็จะเห็นว่ากรณีศาลตัดสินคดีกินป่าลงโทษจำคุก พล.อ.สุรจิต จารุเศรณี อดีต รมว.เกษตรฯ ทั้งที่ พล.อ.สุรจิตก็อยู่ในคณะปฏิวัติด้วย
    และคราวนี้ ถ้ามีขึ้นจริงก็ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่ระบบตุลาการถูกแทรกแซง ซึ่งเชื่อว่าศาลท่านก็ต้องหวั่นไหวว่า การทำคดีที่ไต่สวนอยู่ขณะนี้จะไปรอดหรือไม่”
    ครับ...ถ้าอ้างเป็นกฎหมายเผด็จการ แล้วออกกฎหมายย้อนหลังไปยกเลิก-ลบล้างคำตัดสินศาล ล้างโทษ คืนทรัพย์สมบัติกันได้ บอกว่านี่...เป็นมาตรฐานยุติธรรม แบบนี้ ที่คณะราษฎรไปยึดพระราชสมบัติ ปราสาทราชวังมา ก็ต้องคืนทั้งอำนาจและทรัพย์ ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์มา ก็ต้องคืน ยึดทรัพย์จอมพลถนอม-จอมพลประภาสมา ก็ต้องคืน แล้วที่ประหารชีวิตพลเอกฉลาด ก็ต้องคืนชีวิตเขาด้วย
    แล้วสัมปทานดาวเทียมที่ได้จากบิ๊กจ๊อดปฏิวัติ ก็ต้องคืนด้วย!
    ถ้าไม่คืน ก็ถือว่า...ไอ้คุณมึง ก็ ๒ มาตรฐานห่วยๆ นั่นแหละว้า!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น