วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์การเมือง:ไทยโพสต์

เดรัจฉานวิชา/  เปลวสีเงิน
ขยายปม โดย สม  มมร.
    รู้สึกหดหู่กับความเป็นไปของบ้านเมือง มีคนเสพในสิ่งที่คิดว่ามันคือ  "อำนาจ" แล้วใช้สิ่งที่เสพกันอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่สนใจกฎหมายของบ้านเมือง
   
เมื่อพวกตัวเองใหญ่ ก็ทึกทักเอาว่าความยิ่งใหญ่นั้นคือสมบัติที่ใช้ร่วมกัน  วันนี้เดินเหินไปไหนเจอแต่พวกที่คิดว่าตัวเองใหญ่คับบ้านคับเมือง

   
ขับรถฝ่าไฟแดงตำรวจไม่จับ แถมยังอำนวยความสะดวกเพราะติดโลโก้สีแดงเป็นใบเบิกทาง
 
   
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นหลังวิกฤติเผาบ้านเผาเมือง วันนี้เหตุการณ์ที่ว่าได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะใกล้วันที่ ๑๙ พฤษภาคม วันแห่งการเฉลิมฉลองของคนเสื้อแดงเขา

   
รู้สึกหดหู่ที่ผู้รักประชาธิปไตยราวจะกลืนกิน ลืมไปหมดแล้วว่าวันที่ ๑๗  พฤษภาคม คือวันที่ "ประชาชน" ต้องเสียเลือดเนื้อต่อสู้กับเผด็จการทหาร รสช.
 
   
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่เคยเข้าใจกันว่าเป็นเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกฝ่ายให้การยอมรับ ถือเป็นประวัติศาสตร์การต่อสู้ร่วมกันนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด

   
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕ มิได้อยู่ในความทรงจำของมวลชนเสื้อแดงเลย งานรำลึกพฤษภาทมิฬไม่มีใครพูดถึงอีกแล้วนอกจาก รำลึกเผาเมือง  ๑๙ พฤษภาคม
   
แค่จะบอกว่าช่วงนี้คนเสื้อแดงมีกิจกรรมเยอะหน่อย แต่ไม่ได้ขอให้จำทนกับการถูกละเมิดสิทธิเพราะกิจกรรมเหล่านั้น

   
ยอมรับว่าเขียนด้วยความกลัว...กลัวว่าเสื้อแดงจะรุมกระทืบ หรือจุดไฟเผาไล่ล่า กลัวจริงๆ พ่อคุณ เพราะคนพวกนี้ยังใช้อำนาจกันไม่เต็มเหนี่ยว

   
เหตุการณ์ไล่ล่าที่พัทยา เป็นอีกตัวอย่างของความเห็นที่แตกต่างที่อาจไม่มีชีวิตรอดในสังคมที่เต็มไปด้วยการปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง  
   
เบื้องหลังการปลุกปั่นมิได้ผูกขาดเฉพาะนักการเมืองอีกแล้ว แต่นักวิชาการเข้ามาผสมโรง ที่สำคัญเป็นนักวิชาการระดับหัวกะทิ มีอิทธิพลทางความคิดกับมวลชนเสื้อแดงระดับปัญญาชนพอสมควร

   
ขอพูดถึง "เกษียร เตชะพีระ" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสียหน่อย เพราะไม่คิดว่านักวิชาการนามระบือท่านนี้จะมีความคิดที่ "หยาบ" ปานกระดาษทรายขัดไม้เบอร์ ๕
   
เป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กับการโพสต์ข้อเขียนของอาจารย์เกษียรในเฟซบุ๊กส่วนตัว

   
ขอลอกมาทั้งดุ้น เพราะต้นฉบับในเฟซบุ๊กอาจารย์เกษียรหาอ่านไม่ได้ เพราะถูกลบออกไปแล้ว โดยไม่ทราบเหตุผล แต่พอเดาได้ว่า คงระลึกแล้วเห็นว่าเป็นการเขียนที่ผิดพลาด

    "
กรณีคุณบงกช คงมาลัย คอมเมนต์ต่อการเสียชีวิตในคุกของอากงอย่างเลือดเย็นนั้น เอาเข้าจริงเราพบเห็นได้บ่อยครั้งระยะหลังนี้ มันเป็นเรื่องของดารา/เซเลบ ผู้มีชื่อเสียงในวงสังคม แสดงทัศนะอนุรักษนิยมกระแสหลักแบบเห่ยๆ ไร้เดียงสา ไม่คิด ไม่รับผิดชอบ ออกมา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาได้รับรู้เรียนรู้กล่อมเกลามาจากระบบการศึกษาและสื่อมวลชนหลักตลอดช่วงชีวิตของเขา ว่าที่ถูกที่ดีเป็นอย่างนี้ ที่ผิดที่เลวเป็นอย่างนั้น  เขาก็บ้วน/อ้วกมันออกจากท้องผ่านริมฝีปาก/ปลายนิ้วมาคืนให้สังคมเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วถ้ามีแรงสำรวจคอมเมนต์ตามเฟซบุ๊กไทยๆ ทั้งหมด ก็คงมีการแสดงโวหารและความ "ห้าวหาญ" แบบนี้เต็มไปหมดจนนับไม่ถ้วน

   
แต่การแสดงบ้วน/อ้วกสามัญสำนึกกระแสหลักคืนมาให้สังคมของคนอื่นไม่กลายเป็นข่าว ที่ของคุณบงกชเป็นข่าวก็เพราะแกเป็นดารา/เซเลบ (the author function) แค่นั้นเอง
   
และที่แกเป็นดารา/เซเลบ ส่วนสำคัญก็เพราะหน้าอกหน้าใจอันใหญ่โตสมบูรณ์ของแก.....
   
เอาเข้าจริงนี่เป็นเรื่องน่าเห็นใจ มันอาจเป็นพรสวรรค์ที่ช่วยให้เธอโด่งดังในวงการแสดง แต่มันก็อาจเป็นคำสาปแช่งในทางกลับกันได้ ผมนึกถึงดาราดาวยั่วอีกคนหนึ่งซึ่งโผล่ออกมาในวงการช่วงสั้นๆ ด้วยเหตุผลสำคัญคือหน้าอกขนาดใหญ่โตมโหฬารของเธอ ผมเคยดูรายการเกมโชว์ที่เธอได้รับเชิญไปร่วมแข่งขัน ปรากฏว่าตลอดรายการนั้นเธอถูกทักถูกล้อถูกแซวจากโฆษกและเพื่อนร่วมรายการไม่เว้นวาง และทุกคนพูดกับ "หน้าอกของเธอ" ไม่ใช่ตัวเธอ ราวกับเธอซึ่งเป็นมนุษย์ครบ ๓๒  ถูกลดทอนลงเหนือแค่นมใหญ่โต ๒ เต้าเท่านั้นเอง ไม่มีใครเห็นส่วนอื่นในความเป็นมนุษย์ของเธอ ไม่ว่าสติปัญญา ความคิด ความรู้ ความรู้สึก  ภูมิหลัง ประสบการณ์ชีวิต ฯลฯ เห็นแต่นมสองเต้าของเธอเท่านั้น
   
พวกเขาทำกับเธอไม่เหมือนคน แต่เหมือนนมมีชีวิต/วัตถุแห่งการบำบัดความใคร่ทางตาเท่านั้น
   
ในที่สุด เรื่องทั้งหมดจึงเกี่ยวอยู่แหละครับ แต่แบบอ้อมๆ กับขนาดของสมองและหน้าอกของคุณบงกชและพวกเราในสังคมไทย
   
สิ่งที่ต้องคิดเพื่อช่วยกันแก้จึงไม่ใช่แค่สามัญสำนึกกระแสหลักแบบอนุรักษนิยมที่ activate ให้เราพูดแบบไม่เฉลียวคิดและทำร้ายกันและกันอย่างเชื่อว่าถูกต้องดีงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมการลดทอนความเป็นมนุษย์ลงเหลือแค่นมสองเต้าด้วย"
   
ถ้าเชื่อว่า ความคิดแวบแรกของคนคือสัญชาตญาณของความจริง ก็แสดงว่าสิ่งที่อาจารย์เกษียรเขียนคือสิ่งที่อาจารย์เกษียรเชื่อ
   
อาจารย์เกษียรได้ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้า เสมอกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์  ว่าที่อำมาตย์ กับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อำมาตย์รองกระทรวงเกษตรฯ ไปอย่างภาคภูมิแล้ว
   
ผมไม่รู้จัก "ตั๊ก บงกช" ในทุกสถานะมาก่อน เพิ่งมาเห็นตัวตนก็คราวนี้แหละครับ พูดง่ายๆ ข่าวบันเทิงผมมักแบ๊ะๆ เสมอ

   
ตั้งแต่หมดยุค "จินตหรา-สันติสุข" รวมถึง "ดอกฯ เด็จพี่พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์" ผมติดตามข่าวสารในวงการบันเทิงน้อยมาก ยิ่งยุคหลังๆ มานี้ดาราแทบเดินชนกันตาย เยอะเกินกว่าที่สมองผมจะเมมโมรี่ได้หมด

    
อ้อ..ยังมีอีกคนที่รู้จัก "ตั๊ก มยุรา" นั่นไง

   
มาเข้าเรื่อง "ตั๊ก บงกช" กันต่อ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยแบบไทยๆ แต่ก็นั่นแหละ อาจารย์เกษียรมองว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอม ตัดสินเธอจากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ที่เขียนว่า "แต่อากงไม่อยู่ก็ดีนะคะ แผ่นดินจะได้ดีขึ้น"

   
มองด้วยใจเป็นธรรม ไม่ถูกนักที่ "ตั๊ก บงกช" เขียนไปแบบนั้น เพราะธรรมเนียมคนไทยเราต่างรู้ดีว่า "คนล้มอย่าข้าม" และการตอบโต้อย่างหยาบนั้นสามารถเข้าใจได้หากมวลชนเสื้อแดงแสดงทัศนะต่างในโลกออนไลน์

   
แต่ก็เข้าใจได้ยากหากนั่นเป็นทัศนะของบุคคลระดับผู้นำทางความคิดของมวลชนแดง จะว่าไปแล้วอาจารย์เกษียรเป็นแบบอย่างของมวลชนแดงในระดับปัญญาชนด้วยซ้ำ
 
    
ก่อนเหตุการณ์เผาเมือง แกนนำแดงยุงส่ง เผาเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง วันนี้มีสุนัขตัวไหนออกมารับผิดชอบกันบ้าง ซ้ำยังเหวงๆ กันในห้องประชุมรัฐสภา โจมตีว่าทหารเป็นคนเผา

   
มีใครแอ่นอกรับผิดชอบสักคนมั้ยครับ
?
   
เช่นเดียวกับฉากไล่ล่า "ตั๊ก บงกช" ที่พัทยา โดยมีตำรวจนำ แดงตั้งแต่หัวยันหางออกมาเป่าปากกันเฟี้ยวไปหมดด้วยความชอบใจ

   
การวิจารณ์ "ตั๊ก บงกช" ของอาจารย์เกษียรคงไม่ส่งทางความคิดไปถึงแดงพัทยา เพราะถ้าคิดกันได้ภาพไล่ล่าคงไม่ออกมาให้เมืองพัทยาเสียบรรยากาศการท่องเที่ยว
 
   
แต่ได้ส่งผลด้านพฤติกรรม!
 
   
จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม นี่คือการใช้อำนาจเพื่อปกป้องพวกเดียวกัน ตามที่คิดกันว่าเมื่อพวกตัวอยู่ในอำนาจ ก็สามารถแสดงอำนาจโดยไม่ต้องสนใจกฎหมาย  เพราะผู้รักษากฎหมายก็คอยสนับสนุน และให้ความร่วมมือกับการใช้อำนาจนั้น

   
เมื่อคราวที่นักการเมืองต่างขั้วไปหาเสียงเลือกตั้ง ถูกด่าถูกจิกถูกปาของใส่โดยคนเสื้อแดง จำได้มั้ยครับวันนั้นแกนนำแดงพูดไว้อย่างไร

    "
คนเสื้อแดงมีความอดทนไม่เท่ากัน"

    
ถ้าวันนี้ เพื่อน หรือครอบครัวของ "ตั๊ก บงกช" ออกมาใช้คำคำเดียวกันนี้ "คนไม่ชอบเสื้อแเดงมีความอดทนไม่เท่ากัน" แกนนำแดงจะให้คำตอบว่าอย่างไร

   
อาจารย์เกษียรคงนั่งพิจารณาตัวดูแล้ว เห็นว่าไม่เหมาะถึงได้ลบข้อความออกจากเฟซบุ๊ก ถามว่าพอหรือไม่ คงพอถ้าเจ้าตัวเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริงว่าคืออะไร แต่ไม่พอเลยหากลบเพราะถูกรุมด่าในโลกออนไลน์

   
ปัญหาของประเทศในวันนี้คืออะไร "ผีอีแพง" ออกอาละวาด ข้าวของแพงไปหมด ยังมีหน้ามาเข้าฝันว่า "หุหุหุ...พวกเจ้าคิดไปเอง"

   
ของแพงสักพักธรรมชาติจะจัดสรรให้เอง แล้วปัญหาจะหมดไป อย่าไปโทษรัฐบาลเลย เพราะสุดท้ายรัฐบาลก็จะโทษธรรมชาติ ว่าน้ำท่วมมากไป พืชผลการเกษตรเสียหาย พอหน้าแล้งก็ร้อนเกินไป พืชผลการเกษตรไม่ออก ครั้นถึงหน้าหนาวปีนี้คงโทษว่าหนาวไป พืชผักอ่อนแอ เก็บเกี่ยวได้น้อย ดังนั้นเรามารอธรรมชาติกันเถอะแล้วจิตจะเบิกบานกว่าที่คิด

   
ปัญหาที่แท้จริงของประเทศในเวลานี้คือพลเมืองมี "ความเป็นคน"  น้อยลงไปต่างหาก น้อยลงไปทุกที สวนทางกับความเป็นเดรัจฉานที่มากขึ้น
   
ไม่พอใจอะไรก็ออกล่า
   
การล่าของสัตว์นั้นก็เพื่อดำรงชีวิต แต่มนุษย์ล่าเพื่อความสะใจ  หรือว่าเรามีพลเมืองที่เดรัจฉานเสียยิ่งว่าสัตว์แล้วอย่างนั้นหรือ

   
เรื่องนมใหญ่สุดท้ายมาขมวดปมเข้าเรื่อง ม.๑๑๒ มีคนตั้งธงให้เลิก หรือแก้ไข แต่บอกตรงๆ ถึงวินาทีนี้ ไม่เอาทั้งสองอย่าง เพราะไม่เชื่อว่าการแก้ไขในบรรยากาศแบบนี้ หรือภายใต้เครือข่ายของทักษิณจะเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่อ้างกัน

   
จริงอยู่นายกฯ ปู ไม่แก้ ม.๑๑๒ แต่คนในพรรคเพื่อไทยไม่ได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน พวกอยากแก้ อยากเลิกมีอยู่เยอะ และเมื่อแดงทั้งแผ่นดินสุกงอมเต็มที่ก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะยืนยันคำเดิม

   
ถ้าเราเชื่อถึงเหตุจำเป็นของการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อปกป้องเบื้องสูง ตามที่แกนนำแดง นักวิชาการแดงกล่าวอ้าง นั่นหมายความว่าการวิจารณ์สถาบันหลังจากนั้นจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์
   
ผู้คนจะตระหนักถึงการไม่ละเมิดให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย

   
แค่ความเห็นต่างของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งถูกดูถูกดูแคลนว่า นมโตสมองเล็ก  พวกคุณถึงขั้นจะเอาให้ตาย ถามว่าอำมาตย์ที่พวกคุณปลุกให้เกิดความเกลียดชังจะอยู่ในสภาพไหน หากไม่มีกฎหมายที่สมควรแก่สถานะมาปกป้อง
   
จะให้พระเจ้าอยู่หัวฟ้องหมิ่นประมาทประชาชนโดยตรงอย่างนั้นหรือ  อยากเห็นแบบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น