วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์เดลินิวส์

แนวต้าน "ปรองดอง" เครื่องไม่ร้อนแต่พร้อมลุย
  • 30 พฤษภาคม 2555
·         โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
·         นับจากนี้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเข้าสู่ความยากลำบากอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ความอึดอัดจะเกิดขึ้น ไม่ว่าขยับตัวไปทางไหนจะตกเป็นเป้าสายตาให้คอยจับผิดตลอด สภาพแบบที่เกิดขึ้นนี้คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง หลังจากตัดสินใจเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ
·         ชนวนของความขัดแย้งกำลังจะบังเกิดและเรียกแขกให้เข้ามาถล่มรัฐบาลอยู่ที่เนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งไปคุ้มครองครอบคลุมให้เกิดกระบวนการปลดโซ่ตรวนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งคดีที่ดินรัชดาและคดียึดทรัพย์
·         ปมนี้เลยกลายเป็นเรื่องปลุกม็อบให้กลับมาคึกคักทันที
·         เมื่อสำรวจแถวรบต้านแผนปรองดองพรรคเพื่อไทยแล้ว พบว่าส่วนใหญ่ยังเป็นขาประจำคนคุ้นเคย พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่แล้ว นำโดย กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) งานนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล” “จำลอง ศรีเมือง” “พิภพ ธงไชย” “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์กลับมาบัญชาการรบด้วยตัวเอง
·         พลังเสื้อเหลืองเคยฝากรอยช้ำเอาไว้ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาแล้ว อย่าลืมว่านายกรัฐมนตรี 2 คนของนายใหญ่ต้องระเห็จออกจากทำเนียบรัฐบาลไปประชุมบัญชาการที่สนามบินดอนเมืองแทน ก่อนที่สุดท้ายต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
·         เมื่อจุดสูงสุดของกลุ่ม พธม.ได้ผ่านพ้นไป ขาลงก็ได้เข้ามาเยือนมีผลให้ความเป็นปึกแผ่นหายไป แนวร่วมที่เคยแข็งแรงอ่อนแอลงตามลำดับในช่วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มวลชนจำนวนมากไม่พอใจกับท่าทีของสนธิในการพูดพาดพิงทางลบ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหลายกรรมหลายวาระ
·         พ่อยกแม่ยกเสื้อเหลืองเลยถอยตัวเองออกมา เห็นได้จากการระดมพลต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญสมัยนายกฯ อภิสิทธิ์ กลับมีมวลชนเบาบางอย่างน่าใจหาย
·         มาคราวนี้สถานการณ์ใกล้เข้าสู่จุดสุกงอม แนวร่วมที่เคยกระจัดกระจายก็เตรียมกลับมารวมกันเฉพาะกิจอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายขัดขวางการนิรโทษกรรมระบอบทักษิณทุกทิศทาง
·         ส่วนอีกแนวรบ คือ “กลุ่มเสื้อหลากสี ภายใต้การนำของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ กลุ่มนี้นับว่าเคลื่อนไหวต่อต้านการปลดล็อก พ.ต.ท.ทักษิณ มาอย่างต่อเนื่อง
·         ผ่านการโชว์พลังมวลชนเต็มลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินีมาแล้ว เมื่อครั้งมีข่าวว่าคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เตรียมฉวยโอกาสเสนอ พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษในโอกาสมหามงคล จนรัฐบาลต้องออกมาชี้แจงต่อสังคมพัลวันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ประโยชน์ เพื่อดับอารมณ์ม็อบก่อนสถานการณ์จะบานปลาย
·         ยังไม่นับรวมอีกสารพัดเรื่องที่คอยตรวจสอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นระยะๆ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมทางการเมืองของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นำมาสู่การรวบรวมรายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนมากมาย ทำให้เป็นน้ำหล่อเลี้ยงมวลชนไปเรื่อยๆ เพื่อรองานใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
·         สยามสามัคคี กลุ่มนี้มีมิตรรักแฟนเพลงอยู่พอสมควร เริ่มจากการรวมตัวของ สว.สรรหา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น สมชาย แสวงการ” “ประสาร มฤคพิทักษ์” “พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอมเป็นต้น พร้อมด้วย แก้วสรร อติโพธิอดีตเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
·        
·          
·         จุดยืนของสยามสามัคคีไม่ได้ต่างจากกลุ่มอื่นๆ ที่ต่อต้านการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ หัวชนฝา ซึ่งหัวใจของกลุ่มนี้อยู่ที่ แก้วสรรนับเป็นแม่เหล็กคนสำคัญในการดึงมวลชน โดยใช้ความรู้ทางกฎหมายของตัวเองสามารถอธิบายบทบัญญัติกฎหมายที่ยากๆ ให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานทางนิติศาสตร์มาก่อน
·         ขณะที่อีกทัพใหญ่ต้านระบอบทักษิณ คือ “พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่พลาดร่วมวงขย้ำทักษิณครั้งนี้เช่นกัน โดยหัวหมู่ทะลวงฟันอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่าจะคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองทั้งในและนอกสภา
·         ขึ้นชื่อว่ายี่ห้อพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องห่วงว่าจะกรีดพรรคเพื่อไทยได้แผลขนาดไหน ถึงจะล้มรัฐบาลในสภาไม่ได้ แต่สร้างความบอบช้ำให้ยิ่งลักษณ์แน่นอน ส่วนการรบนอกสภาก็มีความน่าสนใจไม่น้อย โดยเครื่องมือสำคัญ คือ สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม Blue Sky
·         ฝ่ายค้านได้พยายามใช้ Blue Sky มาเป็นฐานสำคัญได้สักระยะแล้ว รูปแบบไม่ได้มีอะไรมาก โดยเฉพาะการจัดรายการเพื่อเป็นพื้นที่สาธารณะนำเสนอและชี้ความบกพร่องของรัฐบาลยิ่งลักษณ์หลายเดือนที่ผ่านมา
·         ชิงจังหวะในช่วงที่รัฐบาลมีความอ่อนแอจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไร้ประสิทธิภาพสร้างมวลชน โดยรู้ดีว่าเรื่องของแพงเป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชนทั่วไป แม้การผลิตซ้ำวาทกรรมแพงทั้งแผ่นดินอาจจะไม่ได้สร้างมวลชนเสื้อสีฟ้าสนับสนุนขึ้นมาทันที แต่ในระยะยาวที่ต้องต่อต้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง แล้วมวลชนกลุ่มนี้พร้อมจะมุ่งสู่ท้องถนนเพื่อถล่มรัฐบาลได้เช่นกัน
·         อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ ณ วันที่ 30-31 พ.ค. ยังไม่ใช่วันแตกหัก โดยการเมืองเวลานี้ไม่ได้หันหน้าเข้าสู่ทางตันถึงขั้นต้องตั้งหอรบไล่รัฐบาลแบบไม่ชนะไม่เลิก เพราะขั้นตอนของร่าง พ.ร.บ.ปรองดองต้องผ่านถึง 2 สภา ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
·         ต่อให้เสียงข้างมากในวันที่ 31 พ.ค. รับหลักการกฎหมายฉบับนี้ แต่การต่อสู้ต้องไปวัดกันในห้องประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญอีกครั้ง แถมต้องเสนอวุฒิสภาให้กลั่นกรองอีก
·         ถึงกระนั้น หากผ่านวุฒิสภาไปได้ เชื่อว่าจะมีการเข้าชื่อรวบรวมส่งคำร้องให้ศาลรัฐ ธรรมนูญตีความ เพื่อให้วินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่มีเนื้อหาแทรกแซงอำนาจตุลาการขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่อีกขั้นตอนหนึ่ง
·         เท่ากับว่าสองวันนี้จะเป็นเพียงการอุ่นเครื่องแสดงพลังกันยกแรกก่อน โดยพรรคเพื่อไทยเองต้องการทราบว่ามีมวลชนฝ่ายตรงข้ามออกมาต่อต้านมากหรือน้อยขนาดไหน และกำลังที่แสดงออกมาจะเพิ่มจำนวนเหมือนเมื่อครั้งไล่สองนายกรัฐมนตรีของพรรคก่อนหน้านี้ได้หรือไม่
·         หากเห็นท่าไม่ดีและสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของรัฐบาล เชื่อว่าที่สุดแล้วเก้าอี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ย่อมสำคัญกว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง บนฐานความคิดที่ว่า ตราบใดอำนาจรัฐยังอยู่ในมือความได้เปรียบย่อมอยู่ในมือเช่นกัน
·         ไม่ต่างอะไรกับแกนนำจัดม็อบ การมาล้อมรัฐสภาครั้งนี้เพียงแค่ต้องการตรวจแถวมวลชนของตัวเองในระดับหนึ่งเท่านั้น เพื่อประเมินท่าทีและกำหนดการเคลื่อนไหวในครั้งต่อๆ ไป ประกอบกับเกมนี้ไม่ใช่สงครามวันเดียวจบ แต่เป็นสงครามยืดเยื้อมาราธอน โดยทราบดีว่าสถานการณ์ยังไม่มีเงื่อนไขพอที่จะแตกหักในช่วงนี้
·         ทุกอย่างเลยสรุปอยู่แค่การประลองกำลังเท่านั้น ทำให้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เว้นเสียแต่รัฐบาลจะสร้างเงื่อนไขให้เข้าสู่จุดแตกหักเสียเอง หรือมีมือที่สามเข้ามาป่วนสถานการณ์จนเกิดความรุนแรงที่ยากต่อการควบคุมให้อยู่ในความสงบ

บทวิเคราะห์ไทยโพสต์;เปลวสีเงิน

'พรบ.ยึด ๓ พระราชอำนาจสูงสุด'

ขยายปมโดย  สม มมร

ทำไป-ทำมา พ.ร.บ.ปรองดองมีถึง ๓ ฉบับ คือฉบับของพรรคมาตุภูมิ ฉบับของพรรคเพื่อไทย และฉบับของแก๊ง นปช. โดยนายจตุพรบอกว่า จะให้นายณัฐวุฒิเป็นผู้เสนอ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ติ่งเอาไว้ "ออกตัว" กับเสื้อแดงว่า....ขึ้นฝั่งแล้ว ข้าไม่ได้ถีบหัวเรือส่งนะ แต่จะกี่ฉบับก็ช่าง ทุกอย่างสรุปลง "ประเด็นเดียว" คือ ล้มทุกคดีใน คตส.-ล้างทุกคำตัดสินศาล และโละทุกโทษทักษิณ แล้ว...คืนสมบัติ!
    เห็นบอกว่าที่ประชุมพรรคเพื่อไทยจะให้ประธานสภาฯ เลื่อนวาระ เอา พ.ร.บ.ทั้ง ๓ ฉบับมาพิจารณารวมกันทีเดียวเลยในการประชุมวันพุธที่ ๓๐ พ.ค.นี้
    ก็ดีน่ะซี...ขอให้มันจริงเหอะ!
    พ.ร.บ.ทั้ง ๓ ฉบับที่ชิงกันเสนอเอาความดี-ความชอบจากนายใหญ่นี้ จะว่าไปแล้ว มันไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.ล้างโทษให้ทักษิณเท่านั้น หากแต่นี่คือ การเริ่มต้นรวบอำนาจ ๓ สถาบันหลักของชาติให้ปรากฏเป็นรูปธรรม
    ตามนัยที่ยิ่งลักษณ์ตั้งให้ "นายอุกฤษ มงคลนาวิน" เป็นประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ศึกษาแนวทางรวมอำนาจรัฐสภา-ครม.-ศาล-องค์กรอิสระ-หน่วยงานรัฐ
    รวมศูนย์ที่ "ระบอบทักษิณ"!?
    ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้ทราบ ถ้า พ.ร.บ.ปรองดองออกมาใช้เป็นกฎหมายได้วันไหน วันนั้น ไม่ใช่แค่วัน "ล้มแล้วยึด" อำนาจสถาบันตุลาการ คือศาลเท่านั้น
    ยังเป็นวัน "ล้มแล้วยึด" อำนาจสถาบันบริหาร คือรัฐบาล และ "ล้มแล้วยึด" อำนาจสถาบันนิติบัญญัติ คือรัฐสภาด้วย เพราะการบงการให้รัฐสภาออกกฎหมายอย่างนั้น-อย่างนี้ได้ตามใจชอบ นั่นเท่ากับ "ระบอบทักษิณ" อาศัยคราบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ยึดอำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติไว้ในกำมือแล้ว
    พร้อมกับใช้ "อำนาจในกำมือนั้น เลาะตามตะเข็บบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ" ล้มแล้วยึด "อำนาจสถาบันศาล" ไว้ในกำมือเป็นแห่งสุดท้ายได้เสร็จสมบูรณ์อีกด้วย!
    แบบไหน-อย่างไร?
    ก็แบบนี้-อย่างนี้ไงล่ะ พ.ร.บ.ปรองดองหรือ พ.ร.บ.ล้างโทษทักษิณนี้ มันเป็นความร่วมมือกันของรัฐบาลกับรัฐสภาระบอบทักษิณ ลบล้างกระบวนการยุติธรรม ลบล้างระบบศาล ลบล้างกระทั่งคำพิพากษาศาลที่ตัดสินไปแล้วทั้งหมด ให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ "ระบอบทักษิณ" ต้องการ!
    ลองคดีที่ศาลตัดสินไปแล้ว ระบอบทักษิณจะยกเลิก จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างใด-อย่างหนึ่งตามที่ต้องการได้ แล้วต่อไปนี้ ประเทศชาติ-ประชาชนจะยึด-จะพึ่งอะไร เป็นแกนยุติแห่งปัญหาทั้งปวง?
    -ศาลอื่นใด ก็เป็นที่พึ่งเด็ดขาดไม่ได้
    -รัฐบาลอื่นใด ก็เป็นที่พึ่งเด็ดขาดไม่ได้
    -รัฐสภาอื่นใด ก็เป็นที่พึ่งเด็ดขาดไม่ได้
    ต้องเป็นศาล "ระบอบทักษิณ" เท่านั้น เป็นที่พึ่งเด็ดขาดได้
    ต้องรัฐบาล "ระบอบทักษิณ" เท่านั้น เป็นที่พึ่งเด็ดขาดได้
    ต้องรัฐสภา "ระบอบทักษิณ" เท่านั้น เป็นที่พึ่งเด็ดขาดได้!
    แล้วยังจะมีประชาชนคนไหน ทั้งไทย-ทั้งโลก เคารพเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมืองไทยอยู่อีกมั้ย...แบบนี้ ถนนทุกสายมุ่งเข้าหา "ระบอบทักษิณ" ดีกว่า-ชัวร์กว่า
    เพราะ "ระบอบทักษิณ" เป็นศูนย์รวมทุกอำนาจของประเทศ ทั้งอำนาจบริหาร-อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ
    "วันสต็อปเซอร์วิส" ว่างั้นเถอะ!
    อำนาจระบอบทักษิณเท่านั้น ที่จะสามารถ "ชี้ต้นตาย-ชี้ปลายเป็น" ทุกอย่างในประเทศไทย จะดลบันดาลให้ได้ทุกประการ ขึ้นอยู่กับความพอใจ-ไม่พอใจของระบอบทักษิณเท่านั้น
    เหมือนระบบตำรวจตอนนี้ พวกเสื้อแดงระดับแกนบางพื้นที่ เปิดสถานบริการได้ตั้งแต่เย็นยันสว่าง ตั้งแต่สว่างยันเย็น ตำรวจท้องที่ไหนทำงานตงฉินไปตรวจจับ ฝ่ายตำรวจนั่นแหละจะเจอข้อหา "ขัดขวางการทำผิดกฎหมายของคนระบอบทักษิณ"
    มันฟ้องพ่อทักษิณ จะถูกย้ายกระเด็นภายใน ๒๔ ชั่วโมง!
    นี่แหละ...อำนาจระบอบทักษิณ ตำรวจยังต้องยืนกุมไข่ตะเบ๊ะพวกที่เคยเผาบ้าน-เผาเมือง ทุบรถ ไล่ตีนายกฯ อภิสิทธิ์ให้ตอนนั้น วันนี้....ตำรวจหน้าไหนไปจับพวกเขา รู้ถึงหูพ่อทักษิณ ระดับผู้บัญชาการก็เถอะ หนาววววจนไข่หด บอกไม่เชื่อ?
    สรุปก็คือ ถ้าสภาระบอบทักษิณผ่านกฎหมายล้างโทษให้ทักษิณได้ ไม่ใช่แค่กระสุนนัดเดียวได้นกตัวเดียวหรือสองตัว หากแต่ระบอบทักษิณได้ยึดครอง ๓ อำนาจบริหารประเทศ คือเท่ากับ "ยึดประเทศ" ไว้ได้ในกำมือนั่นเลยเชียว!
    เอ้า...ทุกคนก็เรียนหนังสือกันมา จบชั้นสูงบ้าง-ชั้นต่ำบ้าง แต่จำด้วยเข้าใจกันใช่มั้ยว่า "อำนาจทั้ง ๓" นั้น เป็นของใคร แต่ถ้าขืนปล่อยให้ระบอบทักษิณยึด ๓ อำนาจนั้นรวมศูนย์ที่พวกเขา แบบนั้นหมายถึงอะไร?
    มันไม่ซับซ้อนเกินเข้าใจหรอก ถ้าคิดซักนิด ก็ไม่เป็นไร....ผมจะนำความบางตอนในปาฐกถาพิเศษของ "ท่านอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ" องคมนตรี เมื่อปี ๒๕๕๔ ที่รามาการ์เด้น ในหัวข้อเรื่อง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการทรงใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ" มาให้อ่านเพื่อเข้าใจกัน ดังนี้
    “ประเทศไทยมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมายาวนาน โดยในอดีต เป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยพระมหากษัตริย์ทรงพระราชอำนาจสูงสุดแต่เพียงพระองค์เดียว แต่หลังจากวันที่ ๒๔ มิ.ย. พ.ศ.๒๔๗๕ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อาจเรียกได้ว่าเป็นการปกครองแบบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยพระมหากษัตริย์ทรงจำกัดพระราชอำนาจของพระองค์เอง โดยการพระราชทานในรัฐธรรมนูญ
    ในอดีตรัฐธรรมนูญ 6 ฉบับ ไม่ว่าจะเป็นฉบับถาวรหรือฉบับชั่วคราว พระมหากษัตริย์เป็นผู้พระราชทานให้ พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจของพระองค์ภายใต้รัฐธรรมนูญและพระราชทานพระราชอำนาจสูงสุดไปสู่ปวงชนชาวไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับบัญญัติว่า อำนาจประชาธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
    พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้แสดงให้เห็นว่า ตามกฎหมายนั้นอำนาจประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศชาติอยู่ที่พระมหากษัตริย์และประชาชน
    โดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้น ผ่านทางฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ ซึ่งแต่ละฝ่ายเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการตามรัฐธรรมนูญ
    เข้าใจกันชัดแล้วใช่ไหมครับ เอ้า...แล้วดูเนื้อหา พ.ร.บ.ล้างโทษทักษิณ มันไม่ใช่แค่นิรโทษกรรม หากแต่มันย้อนลงไปล้มล้างกระทั่งคำตัดสินศาลทั้งที่ตัดสินไปแล้ว อันเป็นคำตัดสินภายใต้พระมหาปรมาภิไธยเลยทีเดียว
    ท่านวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พูดถึงเรื่องนี้ว่า
    "การเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ที่สาระสำคัญให้มีการยกเลิกคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ดำเนินการไว้ เป็นการยกเลิกแบบเบ็ดเสร็จไปถึงอำนาจตุลาการด้วย
    ขณะที่กฎหมายของต่างประเทศ การที่จะให้ยกเลิกการกระทำของฝ่ายตุลาการเลยนั้น ไม่เคยมี หาได้ยากในประเทศบนโลกนี้ ซึ่งเท่าที่ผมได้ตรวจสอบพบว่า กระบวนการใดที่ทำจนถึงที่สุดแล้ว เขาจะใช้วิธีการอภัยโทษหรือนิรโทษกรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าย้อนกลับไปเริ่มต้นที่จุดเดิม แล้วจะมาบอกว่าที่ทำไปแล้วนั้นใช้ไม่ได้เลย อย่างนั้นไม่มี
    หากมีการดำเนินการให้ยกเลิกอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันจริง ย่อมส่งผลกระทบถึงความคิดของประชาชนว่า ระบบความยุติธรรมไม่ได้รับความเชื่อถือ และไม่ได้รับความเคารพอีกต่อไป โดยเฉพาะศาลยุติธรรม ระบบตุลาการ ซึ่งตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งได้วางระบบตุลาการ โดยห้ามมิให้อำนาจอื่นมาแทรกแซงเป็นอันขาด ตรงนี้ย่อมกระทบจิตใจประชาชนที่ต้องการให้ศาลยุติธรรมเป็นที่พึ่ง
    ฝ่ายตุลาการปกติจะนิ่ง จะไม่โวยวาย ถือศักดิ์ศรีและเกียรติศักดิ์ที่ได้รับการยอมรับมาเป็นเวลายาวนาน แต่ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับประชาชนมากกว่าที่จะยอมได้หรือไม่ ที่จะให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น ตอนนี้ก็ได้แต่รอฟัง เพราะร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ได้เข้าสภาฯ ซึ่งอาจจะเป็นการโยนหินถามทางก็ได้ โดยหลักการอำนาจนิติบัญญัติ และบริหารจะไม่เข้ามาแทรกแซงอำนาจตุลาการ
    แม้แต่ยุครัฐประหารหรือปฏิวัติ รวมถึงยุคที่บ้านเมืองปกครองโดยเด็ดขาด ก็จะไม่มีการเข้ามาแทรกแซง เช่น สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็จะเห็นว่ากรณีศาลตัดสินคดีกินป่าลงโทษจำคุก พล.อ.สุรจิต จารุเศรณี อดีต รมว.เกษตรฯ ทั้งที่ พล.อ.สุรจิตก็อยู่ในคณะปฏิวัติด้วย
    และคราวนี้ ถ้ามีขึ้นจริงก็ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่ระบบตุลาการถูกแทรกแซง ซึ่งเชื่อว่าศาลท่านก็ต้องหวั่นไหวว่า การทำคดีที่ไต่สวนอยู่ขณะนี้จะไปรอดหรือไม่”
    ครับ...ถ้าอ้างเป็นกฎหมายเผด็จการ แล้วออกกฎหมายย้อนหลังไปยกเลิก-ลบล้างคำตัดสินศาล ล้างโทษ คืนทรัพย์สมบัติกันได้ บอกว่านี่...เป็นมาตรฐานยุติธรรม แบบนี้ ที่คณะราษฎรไปยึดพระราชสมบัติ ปราสาทราชวังมา ก็ต้องคืนทั้งอำนาจและทรัพย์ ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์มา ก็ต้องคืน ยึดทรัพย์จอมพลถนอม-จอมพลประภาสมา ก็ต้องคืน แล้วที่ประหารชีวิตพลเอกฉลาด ก็ต้องคืนชีวิตเขาด้วย
    แล้วสัมปทานดาวเทียมที่ได้จากบิ๊กจ๊อดปฏิวัติ ก็ต้องคืนด้วย!
    ถ้าไม่คืน ก็ถือว่า...ไอ้คุณมึง ก็ ๒ มาตรฐานห่วยๆ นั่นแหละว้า!

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์มติชน

เกียร์ปรองดอง
"ระยะทาง" กำลังกลายเป็นปัญหาของ "ทักษิณ ชินวัตร"
ขยายปมโดย  สม. มมร
ความห่างจากข้อมูลทำให้เขาตัดสินใจหลายเรื่องผิดพลาด

เรื่องแรก คือ การขยายอาณาเขตไปสู่การเมืองท้องถิ่นอย่างเปิดเผย

ไม่ว่าจะเป็นสนามองค์การบริหารส่วนจังหวัด และเทศบาล

"ทักษิณ" ให้พรรคเพื่อไทยสนับสนุนผู้สมัครอย่างเปิดเผย เลือกข้างเลือกขั้วอย่างชัดเจน โดยลืมไปว่าเป็นการแยกมิตร สร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น

เพราะผู้สมัครหลายคนที่ไม่ได้สังกัดพรรคเพื่อไทย คือ "คนเสื้อแดง" ที่สนับสนุน "ทักษิณ" และพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมา

แต่พอ "ทักษิณ" ที่ควรจะวางตัวเป็นกลางกลับเลือกข้าง

"ใจ" ของคนนั้นที่เคยให้กับ "ทักษิณ" ก็ต้องแปรเปลี่ยนไป

ปรากฏการณ์นี้นอกจากแสดงให้เห็นว่าวิธีคิดของ "ทักษิณ" ยังเหมือนเดิม คือ พยายามกุมอำนาจให้มากที่สุด ยังสะท้อนให้เห็นว่า "ทักษิณ" ห่างไกลจากข้อมูลมาก

ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ย่อมนำมาสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด

เรื่องที่สอง การปราศรัยผ่านวิดีโอลิงก์ของ "ทักษิณ" ที่ราชประสงค์ ในคืนวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่พยายามกล่อม "คนเสื้อแดง" ให้ยอมรับการปรองดอง

การเปลี่ยนเกียร์สู่โหมดการปรองดองของ "ทักษิณ" นั้น ใครๆ ก็รู้

และหลายฝ่ายก็ไม่ได้คัดค้าน

แต่ไม่นึกว่าเขาจะเลือกเวลาและสถานที่ "ปล่อยของ" ผิดพลาด

เพราะแยกราชประสงค์สำหรับ "คนเสื้อแดง" นั้นมีตำนาน

ทั้งความแค้น ความสูญเสียจากการต่อสู้

ในขณะที่ก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม เกิดกรณี "อากง" เสียชีวิต และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งตัดสินตัดสิทธิความเป็น ส.ส.ของ "จตุพร พรหมพันธุ์"

อุณหภูมิอารมณ์ของ "คนเสื้อแดง" ที่แยกราชประสงค์ จึงไม่ใช่ความรู้สึกอยากปรองดอง หรือฉลองในชัยชนะ

แต่เป็นอารมณ์ที่ยังคงคับแค้นอยู่

เมื่อ "ทักษิณ" ใช้เวทีปราศรัยที่แยกราชประสงค์เปลี่ยนเกียร์อารมณ์สู่การปรองดอง

ปฏิกิริยาทั้งจากหน้าเวทีและความเห็นของคนเสื้อแดงบางกลุ่มหลังจากนั้นจึงชัดเจนอย่างยิ่งว่าไม่พอใจ "ทักษิณ"

นี่คือ อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า "ทักษิณ" นั้นเริ่มห่างไกลจากข้อมูลความเป็นจริง

เกือบ 5 ปีที่ต้องอยู่ต่างแดนทำให้เขามีปัญหาเรื่องการตัดสินใจ

เขาเลือกเวลาและสถานที่สำหรับ "มิตร" ผิดพลาดอย่างยิ่ง

และจะเจ็บปวดยิ่งกว่านี้ ถ้า "ทักษิณ" ทายใจฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามของเขาผิดพลาด

การเปลี่ยนเกียร์ของเขาจึงอาจไม่ใช่แค่ลดความเร็วของรถ

แต่อาจหมายถึงการเปลี่ยนจากการเดินหน้าเป็น "เกียร์ถอยหลัง"

...ลงคลอง

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

'แม้ว-เสื้อแดง'บท'ตบจูบ'แค่ละครตบตา
'ทักษิณ-เสื้อแดง'บท'ตบจูบ'แค่ละครตบตา :
  การจ่ายเงิน "เยียวยาประชาชน" ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ "น้ำท่วม" กับผลกระทบจาก "ความขัดแย้งทางการเมือง" ของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ถือว่า "รวดเร็ว" ถูกใจผู้รับเงินเป็นอย่างยิ่ง

                  ต้องยอมรับว่า "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" บริหารงานไม่เข้าตาประชาชนนับตั้งแต่ปัญหาราคาสินค้าที่ทำให้ประชาชนต้องรับภาระ "จ่ายเพิ่ม" และสถานการณ์ยิ่งซ้ำเติมโดยเฉพาะ "กลุ่มคนเสื้อแดงอุดมการณ์" ที่พากันผิดหวังหลังจาก "ทักษิณ ชินวัตร" วิดีโอลิงค์ให้ทุกคน "ลืมอดีต เพื่ออนาคต"
       
                  ทำให้ "รัฐบาล และพรรคเพื่อไทย" เสียแนวร่วมจึงต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธี "ดึงมวลชน" ให้กลับมาเป็นผู้สนับสนุนอีกครั้ง
       
                  การจ่ายเงินเยียวยาโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก "ความขัดแย้งทางการเมือง" ที่ถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 นอกจากต้องการแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความรับผิดชอบแล้ว ยังเป็นการ "สื่อ" ไปถึงกลุ่มคนเสื้อแดงที่กำลัง "หดหู่ใจ" กับ "วลีทักษิณ" ให้เห็นว่ารัฐบาลพูดและทำจริง "ตายจริงจ่ายจริง"
       
                  อย่างน้อยถือเป็นการ "ลดกระแส" การโจมตีจากกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเอง และการจ่ายเงินถือเป็นการลดแรงกดดันทางการเมืองสอดคล้องกับคำพูดของ "ทักษิณ" ค่ำคืนที่ 19 พฤษภาคม ที่บอกว่า "การเยียวยาต้องทั่วถึง ถ้าไม่ทั่วถึงต้องทำให้ทั่วถึง ขอให้แกนนำเสื้อแดงเข้าไปดูแล มีอะไรมาบอกกับผมจะดูให้ทั่วถึง เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ในบ้านเมือง"
       
                  นอกจากการจ่ายเงินเยียวยา เพื่อรักษามวลชนเสื้อแดงแล้ว ในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ "3 เกลอ" วีระกานต์ มุสิกพงศ์ - จตุพร พรหมพันธุ์ - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เตรียมจัดกิจกรรมใหญ่ "ความจริงวันนี้ภาคพิเศษ" ครั้งแรกหลังจากปิดสถานี ที่บริเวณธันเดอร์โดม เมืองทองธานี
       
                  กิจกรรมดังกล่าว "ก่อแก้ว พิกุลทอง" แกนนำคนเสื้อแดง บอกว่า ได้คิดไว้นานแล้วแต่ที่ยังไม่พูดออกมา เพราะเกรงว่าจะไปซ้ำซ้อนกับงานวันที่ 19 พฤษภาคม จึงแจ้งข่าวการทำกิจกรรมเรื่องนี้ภายหลัง วัตถุประสงค์หลักของการจัดงานครั้งนี้ต้องการจัดให้ "วีระกานต์" ที่จะพ้นจากการถูกตัดสิทธิทางการเมืองของบ้านเลขที่ 111 ไม่เกี่ยวกับกิจกรรมเคลียร์ใจระหว่าง "วลีทักษิณ" กับ "คนเสื้อแดงอุดมการณ์"
       
                  โดยกิจกรรมในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ "ก่อแก้ว" บอกว่า "จะเปิดให้คนเสื้อแดงเข้าร่วมกิจกรรมเต็มที่ แต่บนเวทีจะทำในรูปแบบ "ความจริงวันนี้" ส่วนเนื้อหาบนเวทียังไม่มีการหารือกัน ใกล้วันจะนัดคุยกันอีกครั้ง เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่อยู่ในกระแส แต่ส่วนตัวเห็นว่าควรนำประเด็นคุณทักษิณวิดีโอลิงค์มาพูดด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกต้องมีแน่ เราในฐานะแกนนำที่ใกล้ชิดกับคนเสื้อแดงต้องรับฟัง และทำความเข้าใจร่วมกัน"
       
                  ขณะที่แนวคิดของ "ทักษิณ" ต้องการ "ให้อภัย" หลังจากผู้ได้รับผลกระทบได้รับเงินเยียวยาแล้วคดีความก็ให้เลิกแล้วต่อกัน "ก่อแก้ว" มองว่า การจ่ายเงินเยียวยาเพื่อคลายความทุกข์ ความเจ็บปวด แต่ไม่ใช่ไปตัดสิทธิเรื่องบางอย่างที่ครอบครัวผู้เสียหายควรจะได้ และเรื่องนี้ไม่น่าจะทำให้นโยบายปรองดองของรัฐบาลต้องสะดุด การปรองดองโดยไม่ต้องรับผิดชอบคดีความเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
       
                  "วันนี้ยังไม่เห็นเนื้อหาพรบ.ปรองดอง และนิรโทษกรรมที่ชัดเจน จึงไม่รู้ว่าจะไปทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างไร ซึ่งแนวทางอาจไม่ตรงกับความรู้สึกของมวลชนก็ได้ จึงต้องรอเห็นเนื้อหาก่อนจะไปชี้แจงกับประชาชน ซึ่งมวลชนคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ฟังแกนนำ นปช.เป็นหลัก ส่วนความเห็นของคนเสื้อแดงบนโลกไซเบอร์เป็นกลุ่มก้าวหน้า ปัญญาชน กล้าแสดงออก การแสดงความเห็นต่อคำพูดของคุณทักษิณถือเป็นเรื่องธรรมดา" อีกมุมมองของ "ก่อแก้ว" 
       
                  ดังนั้นการจัดกิจกรรม "ความจริงวันนี้ภาคพิเศษ" ของ "3 เกลอ" ในวันที่ 2 มิถุนายน ต้องจับตา "เนื้อหา" บนเวที เพราะหลังจาก "วลีทักษิณ" เมื่อ 19 พฤษภาคม ได้เกิดแรงกระเพื่อมในหมู่คนเสื้อแดง การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นการ "กระชับการนำ" ให้มวลชนคนเสื้อแดงมาขึ้นกับ "3 เกลอ"
       
                  โดยเนื้อหาจะชี้ว่า "3 เกลอ" จัดกิจกรรมครั้งนี้เพื่อต่อรองกับ "ทักษิณ" หรือ ทำตามที่ "ทักษิณ" สั่งให้ดึงมวลชนคนเสื้อแดงมารวมเป็นหนึ่ง หรือเป็นการจัดกิจกรรมเพื่อก้าวข้าม "ทักษิณ" เป็นการต่อสู้ตามแนวทางของคนเสื้อแดง เพราะต่อให้ "ทักษิณ" ลงเรือ เพื่อขึ้นรถ หวังให้การเดินทางเร็วขึ้น แต่การเดินทางอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีมวลชนเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็กให้ สุดท้ายก็ต้องกลับมายังจุดเดิม
       
                  เปรียบเหมือนคนมี 2 ขา ยืนขาเดียว แม้จะยืนได้แต่ไม่นานก็ล้ม !
       
                  อนาคตระหว่าง "คนเสื้อแดงกับทักษิณ" ไม่ต่างจากละครน้ำเน่าที่ "พระเอก-นางเอก" เล่นบท "ตบจูบ" สุดท้ายก็ต้องมาอยู่คู่กัน !

บทความมติชน

จับตาสายสัมพันธ์ ทักษิณ-เสื้อแดง วันที่ "วาจา" เป็นพิษ
ขยายปมโดย  สม..มมร.

จะชอบ จะชัง จะเชื่อ จะติดสะดุดอยู่ หรือจะ (ประกาศว่า) ก้าวข้ามไปแล้วก็ตามที

แต่ความเป็นจริงประการหนึ่งที่ปฏิเสธมิได้ ก็คือน้ำหนักและบทบาททางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลายคนเชื่อว่ายังคงเล่นบท "นายกรัฐมนตรีเงา" ของรัฐบาลชุดนี้

ไม่ธรรมดา

การ "โฟนอิน" พิสูจน์ความจริงข้อนี้อีกครั้ง

เมื่อหลังโฟนอินแล้วมีเสียงสะท้อนจากคนเสื้อแดงบางกลุ่มว่า

"ทักษิณทิ้งเสื้อแดง-ทักษิณหลอกเสื้อแดง"

และตามติดๆ คือ การตอกลิ่ม หรือ "เสี้ยม" ของฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง

ให้แผลเล็กขยายเป็นแผลใหญ่ หรือดีที่สุดคือกลับมาเย็บกันไม่ติดอีก

นำมาซึ่งปฏิกิริยาหลากหลาย

เริ่มต้นด้วยวาทะเจ้าปัญหาเมื่อคืนวันที่ 19 พฤษภาคม 2555

"เรื่องคดีฝ่ายประชาธิปไตยต้องอดทนกับขั้นตอนกติกา แม้ต้องใช้เวลา

"วันนี้เดินมาสุดทาง เหมือนพี่น้องขับเรือพาตนมาถึงฝั่ง ต่อไปเป็นการขึ้นเขา ซึ่งต้องขึ้นรถไป ไม่จำเป็นต้องแบกเรือมาส่งบนเขา บางอย่างเรื่องส่วนตัวต้องมองข้ามไปบ้าง จึงขอความเข้าใจและเสียสละจากคนเสื้อแดง

"หากมีการปรองดองก็มีโอกาสกลับไปตอบแทนบุญคุณพี่น้อง"

มาเร็วและแรงจากประเทศอังกฤษ ก็คือนักวิชาการที่แดงทั้งตัวและหัวใจอย่างนายใจ อึ๊งภากรณ์

"ทักษิณกำลังอาศัยอีโก้ของตนเองเพื่อบิดเบือนประวัติศาสตร์คนเสื้อแดงอย่างรุนแรง

"เพราะถึงคนเสื้อแดงส่วนใหญ่จะรักทักษิณ แต่คนเสื้อแดงไม่ได้ออกมาสู้กับทหารและประชาธิปัตย์เพื่อทักษิณ เขาออกมาสู้เพื่อให้เขามีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกรัฐบาลที่ตนเองต้องการโดยไม่มีการแทรกแซงจากทหารหรือคนอื่นๆ

"เขาออกมาสู้เพื่อให้มีเสรีภาพในการพูด เขียน และแสดงความเห็น สู้เพื่อให้ตนเองดำรงอยู่ในสังคมที่มีความเป็นธรรม ทั้งทางเศรษฐกิจและทางกฎหมาย

"เป็นความต้องการที่จะมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แทนการเป็นไพร่"

เป็นปฏิกิริยาเดียวกับคนเสื้อแดงที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากกว่า อย่างสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ "บ.ก.ลายจุด" ผู้ยืนหยัดทำกิจกรรมการเมืองแม้จะมีการปราบปรามประชาชนไปแล้ว

"พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าใจว่าข้อเรียกร้องของประชาชนไปไกลเกินตัวเขามากแล้ว แม้ประชาชนส่วนใหญ่ชื่นชมเขา แต่ก็ชื่นชมในฐานะอดีตนายกฯ

"เขาไม่ใช่เงื่อนไขและไม่ใช่แกนนำในการเรียกร้องประชาธิปไตย ที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่าให้ประชาชนลืมเพื่อให้เกิดความปรองดอง เป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดและเป็นการมาผิดเวที

"การรำลึก 19 พ.ค. 2553 เป็นเวทีที่ประชาชนเกิดความสูญเสีย ไม่ใช่ถูกทำรัฐประหารเหมือน 19 ก.ย. 2549

"ผมไม่เคยคิดว่าคนเสื้อแดงพายเรือมาส่ง พ.ต.ท.ทักษิณให้ถึงฝั่ง แต่คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณกระโดดขึ้นรถไฟประชาธิปไตยมาด้วยกัน

"หาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องการกระโดดลงก่อนประชาชนก็ไม่ว่า"

ร้อนถึงคนใกล้ตัวอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างนพดล ปัทมะ ผู้ตอบโต้พรรคประชาธิปัตย์ที่ระบุว่า เป็นการเสี้ยมเป็นกลยุทธ์ที่พยายามทำแต่ไร้ผลมาตลอด

"ที่คนเสื้อแดงหลายพันต้องบาดเจ็บ และร่วมร้อยล้มตายเกิดขึ้นสมัยพรรคประชาธิปัตย์บริหารประเทศหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยมองประชาชนโดยเฉพาะคนเสื้อแดงเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่ถือว่าเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ ที่มีเป้าหมายเดียวกัน

"คือบ้านเมืองที่มีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง"

และแดงด้วยกันอย่างณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่วันนี้เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ ยังต้องรับรองว่า

"อยากจะขอให้คนเสื้อแดงมั่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีทางที่จะทิ้งพี่น้องคนเสื้อแดงอย่างแน่นอน

"เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยเห็น พ.ต.ท.ทักษิณทิ้งเพื่อนหรือมิตรที่เคยต่อสู้ร่วมกัน"

ทั้งปฏิกิริยาและคำอธิบาย สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณกับคนเสื้อแดงจะพัฒนาต่อไปอย่างไร ไม่ได้ขึ้นกับแรงเสี้ยมจากใครที่ไหน

แต่ขึ้นกับจุดยืนและท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณเองเป็นด้านหลัก

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์การเมือง:โพสต์ทูเดย์

สนิมแดงกินรัฐบาล คุมไม่อยู่ กระทบปรองดอง
  • 17 พฤษภาคม 2555
โดย...ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว
ไม่เพียงแต่สถานการณ์สินค้าอุปโภคบริโภคปรับราคาแพงทั้งแผ่นดินจนยากที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะกระชากลงมาแล้ว ความเคลื่อนไหวมวลชนคนเสื้อแดงกระจายตัวออกมากำหนดข้อเรียกร้องทางการเมืองด้านต่างๆ ก็กำลังล้มทับรัฐบาล
ห้วงเวลาไม่กี่วันเกิดปรากฏการณ์กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะที่มิใช่ได้รับการเป่านกหวีดจากแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่สามารถเรียกแขกได้ครั้งละจำนวนมากๆ
หรือถ้าให้มองเป็นการวอร์มอัพเช็กความพร้อมก่อนชุมนุมใหญ่ร่วมรำลึก 2 ปี สี่แยกราชประสงค์ ตามที่แกนนำทางการเมืองอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ และคนอื่นๆ ตั้งเป้าให้มากันมากๆ ก็มิใช่ประเด็นนี้อีก
หากแต่หลายสถานการณ์ผุดขึ้นจากแกนนำธรรมชาติมากกว่าแกนนำทางการเมืองออกมาเคลื่อนไหว
ดังกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงก้าวหน้า ที่สนับสนุนแนวคิดของนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ และคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.) ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เกี่ยวกับความผิดหมิ่นสถาบัน ซึ่งภายหลัง อากงอำพล ตั้งนพคุณ เสียชีวิตในเรือนจำ นักวิชาการที่รับบทเป็นนักเคลื่อนไหวด้วย หยิบโยงการเสียชีวิตของอากง ขอให้รัฐบาลแก้ไขมาตรา 112 อีกครั้ง ทั้งที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยประกาศท่าทีไปแล้วไม่ขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ถ้ารัฐบาลตอบรับแก้ไขมาตรา 112 ทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองทันที เพราะจะมีกลุ่มคนที่ต้องการพิทักษ์รักษาสถาบันออกมาต่อต้าน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีผลย้อนกลับไปยังกลุ่มคนเสื้อแดงหัวก้าวหน้าบ่มเพาะความไม่พอใจต่อท่าทีรัฐบาลมากขึ้น


เช่นเดียวกับกลุ่ม แดงธรรมชาติ ที่ออกมาแสดงตนเคลื่อนไหวต่อฝ่ายเห็นต่าง เช่น กรณีกลุ่มคนเสื้อแดงพัทยาขับมอเตอร์ไซค์ล้อมรถดาราสาว ตั๊ก บงกช ด้วยความไม่พอใจที่ดาราสาวโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กต่อต้านการกระทำของเสื้อแดงก้าวหน้าแห่ศพอากง แม้เหตุการณ์จะไม่เกิดการกระทบกระทั่ง แต่นั่นเป็นสัญญาณไม่สู้ดีนักที่กำลังนำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้เห็นต่างในไม่ช้าหากรัฐบาลควบคุมไม่ได้
ขณะที่กลุ่มแดงก้าวหน้าไม่พอใจรัฐบาลก็เกิดการสุมไฟความขัดแย้งลุกโชน จากกรณีการขยายหมู่บ้านเสื้อแดง ที่ลงไปปักเสาเข็มในพื้นที่ภาคใต้ จนชาวภูเก็ตออกมารวมตัวต่อต้าน ลุกลามถึงขั้นมีการเผาหมู่บ้านเสื้อแดงที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ถึงแม้แกนนำคนเสื้อแดงออกมาให้เหตุผลการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงในพื้นที่ภาคใต้เป็นการสนองนโยบายรัฐบาลต่อต้านยาเสพติด
แต่ผู้คนในพื้นที่ได้รับอีกชุดความคิด ผ่านหน่วยความมั่นคง กอ.รมน. ถึงเป้าหมายหมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อต้องการสลายอุดมการณ์ประชาธิปไตยปรับเปลี่ยนโครงสร้างประเทศด้วยการสร้างรัฐไทยใหม่ เมื่อข้อมูลไม่ตรงกัน ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้น อีกทั้งพื้นที่ภาคใต้เป็นฐานเสียงขนาดใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ถูกจับโยงไปถึงพรรคเพื่อไทยเข้ามาขยายพื้นที่หาเสียงทางการเมือง ย่อมส่งผลกระทบถึงการหาเสียงในทุกพื้นที่
เมื่อการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงสร้างตัวอย่างต่อต้าน แล้วยังเดินหน้าขยายหมู่บ้านแดงต่อไปอีก โดยเฉพาะโซนบลูสกาย ยิ่งจะนำไปสู่การเผชิญหน้ารุนแรง หากรัฐบาลไม่ตัดไฟแต่ต้นลมแต่เป็นไปในลักษณะให้ท้ายสนับสนุน ก็ยิ่งจะทำให้แนวทางปรองดองด้วยการสลายสีสลายกลุ่มไม่มีทางสำเร็จ
จังหวะเดียวกันก็มีกลุ่มเสื้อแดงที่ออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะรักษาผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีการตั้งตัวขึ้นมาเป็นแดงสุวรรณภูมิ ชุมนุมกดดันรัฐบาล หลังคนเสื้อแดงถูกเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิข่มขู่และกล่าวหาว่าเป็นมาเฟียเก็บค่าจอดรถ รวมถึงกรณีเหยื่อแดงกดดันกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้เร่งจ่ายค่าเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง และยังมีความพยายามตั้งกลุ่มแดงอิสระออกมาหลายกลุ่มเพื่อกดดันรัฐบาลให้ทำตามข้อเรียกร้อง ซึ่งการเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนถ่ายทอดออกมาถึงความน้อยเนื้อต่ำใจพาดพิงถึงแกนนำ นปช.ได้ดี แต่ลืมบุญคุณพวกเขา
นอกจากมรสุมคนเสื้อแดงก่อตัวรุมรัฐบาลจากภายนอก สภาพภายในพรรคเพื่อไทย ที่ต้องเกาะเกี่ยวกับแกนนำเสื้อแดงก็เกิดความไม่ลงรอยในหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นโรคปทุมธานี ที่คนเสื้อแดงลงโทษพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้สนามเลือกตั้งนายก อบจ. และเลือกตั้งซ่อม สส.ปทุมธานี เขต 5 มาถึงการแย่งชิงส่งผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี ที่ทำให้เห็นถึงการแตกเหล่าแตกกอของคนเสื้อแดง
เช่นเดียวกับกรณีเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย ก็มีความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง
ภาวะการแย่งชิงการนำย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพภายในพรรคเพื่อไทย ตรงนี้เหมือนพรรคเพื่อไทยรับสัญญาณได้ ล่าสุดจึงมีความพยายามปรับโครงสร้างพรรค กำหนดโซนวางตัวคนดูแลพื้นที่ให้ชัดเจน ทั้งเขต กทม. ต่างจังหวัด เหตุผลส่วนหนึ่งเพื่อลดบทบาทกลุ่มเสื้อแดงการเมืองที่เริ่มมีอิทธิพลเหนือพรรค
ตระกูล มีชัย อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะท้อนว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เห็นอยู่ ณ ปัจจุบันได้ถูกติดอาวุธทางปัญญาจากแกนนำ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องอันตรายหากไม่สามารถควบคุมได้ เพราะแต่ละกลุ่มต่างหวังผลประโยชน์ทางการเมืองให้กับตัวเอง ดังนั้นต้องจับตาไปที่ผู้กำหนดยุทธศาสตร์ของพรรค ว่าจะจัดการกับปัญหาอย่างไร ซึ่งอย่าลืมว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเคารพผู้บังคับบัญชาในระดับหนึ่ง หากผลประโยชน์ที่เสื้อแดงต้องการไม่ได้ ก็อาจเป็นเรื่องที่ย้อนกลับมาหาตัวเองได้เช่นกัน
นั่นเป็นความเห็นของอาจารย์รัฐศาสตร์ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงภายนอกและเสื้อแดงภายในพรรคกลายเป็นสนิมเกาะกินใจรัฐบาล จากสภาพที่เคยเป็นผนังแดงกำแพงเหล็ก แต่การแตกตัวเป็นอิสระเติบโตถึงขั้นสร้างบ้านเป็นของตัวเอง พร้อมที่จะปลดแอกแยกย้ายทางใครทางมัน
เมื่อเป็นเช่นนี้มีผลต่อการคอนโทรลถึงขั้นเอาไม่อยู่ และกระเทือนถึงเป้าหมายสร้างความปรองดอง ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังประนีประนอมกับชนชั้นนำเพื่อเป้าหมายแลกกับนิรโทษกรรม จะได้กลับบ้าน เพราะเมื่อคุมเสื้อแดงไม่ได้ ก็ไม่สามารถรับประกันท่าทีของกลุ่มต่างๆ ได้ โดยเฉพาะกลุ่มแดงอุดมการณ์ที่สนับสนุนแก้มาตรา 112 ที่เริ่มออกมาตรวจสอบแกนนำ นปช. และรุกแก้มาตรา 112 หนักหน่วงขึ้น

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์การเมือง:ไทยโพสต์

เดรัจฉานวิชา/  เปลวสีเงิน
ขยายปม โดย สม  มมร.
    รู้สึกหดหู่กับความเป็นไปของบ้านเมือง มีคนเสพในสิ่งที่คิดว่ามันคือ  "อำนาจ" แล้วใช้สิ่งที่เสพกันอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่สนใจกฎหมายของบ้านเมือง
   
เมื่อพวกตัวเองใหญ่ ก็ทึกทักเอาว่าความยิ่งใหญ่นั้นคือสมบัติที่ใช้ร่วมกัน  วันนี้เดินเหินไปไหนเจอแต่พวกที่คิดว่าตัวเองใหญ่คับบ้านคับเมือง

   
ขับรถฝ่าไฟแดงตำรวจไม่จับ แถมยังอำนวยความสะดวกเพราะติดโลโก้สีแดงเป็นใบเบิกทาง
 
   
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นหลังวิกฤติเผาบ้านเผาเมือง วันนี้เหตุการณ์ที่ว่าได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะใกล้วันที่ ๑๙ พฤษภาคม วันแห่งการเฉลิมฉลองของคนเสื้อแดงเขา

   
รู้สึกหดหู่ที่ผู้รักประชาธิปไตยราวจะกลืนกิน ลืมไปหมดแล้วว่าวันที่ ๑๗  พฤษภาคม คือวันที่ "ประชาชน" ต้องเสียเลือดเนื้อต่อสู้กับเผด็จการทหาร รสช.
 
   
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่เคยเข้าใจกันว่าเป็นเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกฝ่ายให้การยอมรับ ถือเป็นประวัติศาสตร์การต่อสู้ร่วมกันนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด

   
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕ มิได้อยู่ในความทรงจำของมวลชนเสื้อแดงเลย งานรำลึกพฤษภาทมิฬไม่มีใครพูดถึงอีกแล้วนอกจาก รำลึกเผาเมือง  ๑๙ พฤษภาคม
   
แค่จะบอกว่าช่วงนี้คนเสื้อแดงมีกิจกรรมเยอะหน่อย แต่ไม่ได้ขอให้จำทนกับการถูกละเมิดสิทธิเพราะกิจกรรมเหล่านั้น

   
ยอมรับว่าเขียนด้วยความกลัว...กลัวว่าเสื้อแดงจะรุมกระทืบ หรือจุดไฟเผาไล่ล่า กลัวจริงๆ พ่อคุณ เพราะคนพวกนี้ยังใช้อำนาจกันไม่เต็มเหนี่ยว

   
เหตุการณ์ไล่ล่าที่พัทยา เป็นอีกตัวอย่างของความเห็นที่แตกต่างที่อาจไม่มีชีวิตรอดในสังคมที่เต็มไปด้วยการปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง  
   
เบื้องหลังการปลุกปั่นมิได้ผูกขาดเฉพาะนักการเมืองอีกแล้ว แต่นักวิชาการเข้ามาผสมโรง ที่สำคัญเป็นนักวิชาการระดับหัวกะทิ มีอิทธิพลทางความคิดกับมวลชนเสื้อแดงระดับปัญญาชนพอสมควร

   
ขอพูดถึง "เกษียร เตชะพีระ" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสียหน่อย เพราะไม่คิดว่านักวิชาการนามระบือท่านนี้จะมีความคิดที่ "หยาบ" ปานกระดาษทรายขัดไม้เบอร์ ๕
   
เป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กับการโพสต์ข้อเขียนของอาจารย์เกษียรในเฟซบุ๊กส่วนตัว

   
ขอลอกมาทั้งดุ้น เพราะต้นฉบับในเฟซบุ๊กอาจารย์เกษียรหาอ่านไม่ได้ เพราะถูกลบออกไปแล้ว โดยไม่ทราบเหตุผล แต่พอเดาได้ว่า คงระลึกแล้วเห็นว่าเป็นการเขียนที่ผิดพลาด

    "
กรณีคุณบงกช คงมาลัย คอมเมนต์ต่อการเสียชีวิตในคุกของอากงอย่างเลือดเย็นนั้น เอาเข้าจริงเราพบเห็นได้บ่อยครั้งระยะหลังนี้ มันเป็นเรื่องของดารา/เซเลบ ผู้มีชื่อเสียงในวงสังคม แสดงทัศนะอนุรักษนิยมกระแสหลักแบบเห่ยๆ ไร้เดียงสา ไม่คิด ไม่รับผิดชอบ ออกมา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาได้รับรู้เรียนรู้กล่อมเกลามาจากระบบการศึกษาและสื่อมวลชนหลักตลอดช่วงชีวิตของเขา ว่าที่ถูกที่ดีเป็นอย่างนี้ ที่ผิดที่เลวเป็นอย่างนั้น  เขาก็บ้วน/อ้วกมันออกจากท้องผ่านริมฝีปาก/ปลายนิ้วมาคืนให้สังคมเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วถ้ามีแรงสำรวจคอมเมนต์ตามเฟซบุ๊กไทยๆ ทั้งหมด ก็คงมีการแสดงโวหารและความ "ห้าวหาญ" แบบนี้เต็มไปหมดจนนับไม่ถ้วน

   
แต่การแสดงบ้วน/อ้วกสามัญสำนึกกระแสหลักคืนมาให้สังคมของคนอื่นไม่กลายเป็นข่าว ที่ของคุณบงกชเป็นข่าวก็เพราะแกเป็นดารา/เซเลบ (the author function) แค่นั้นเอง
   
และที่แกเป็นดารา/เซเลบ ส่วนสำคัญก็เพราะหน้าอกหน้าใจอันใหญ่โตสมบูรณ์ของแก.....
   
เอาเข้าจริงนี่เป็นเรื่องน่าเห็นใจ มันอาจเป็นพรสวรรค์ที่ช่วยให้เธอโด่งดังในวงการแสดง แต่มันก็อาจเป็นคำสาปแช่งในทางกลับกันได้ ผมนึกถึงดาราดาวยั่วอีกคนหนึ่งซึ่งโผล่ออกมาในวงการช่วงสั้นๆ ด้วยเหตุผลสำคัญคือหน้าอกขนาดใหญ่โตมโหฬารของเธอ ผมเคยดูรายการเกมโชว์ที่เธอได้รับเชิญไปร่วมแข่งขัน ปรากฏว่าตลอดรายการนั้นเธอถูกทักถูกล้อถูกแซวจากโฆษกและเพื่อนร่วมรายการไม่เว้นวาง และทุกคนพูดกับ "หน้าอกของเธอ" ไม่ใช่ตัวเธอ ราวกับเธอซึ่งเป็นมนุษย์ครบ ๓๒  ถูกลดทอนลงเหนือแค่นมใหญ่โต ๒ เต้าเท่านั้นเอง ไม่มีใครเห็นส่วนอื่นในความเป็นมนุษย์ของเธอ ไม่ว่าสติปัญญา ความคิด ความรู้ ความรู้สึก  ภูมิหลัง ประสบการณ์ชีวิต ฯลฯ เห็นแต่นมสองเต้าของเธอเท่านั้น
   
พวกเขาทำกับเธอไม่เหมือนคน แต่เหมือนนมมีชีวิต/วัตถุแห่งการบำบัดความใคร่ทางตาเท่านั้น
   
ในที่สุด เรื่องทั้งหมดจึงเกี่ยวอยู่แหละครับ แต่แบบอ้อมๆ กับขนาดของสมองและหน้าอกของคุณบงกชและพวกเราในสังคมไทย
   
สิ่งที่ต้องคิดเพื่อช่วยกันแก้จึงไม่ใช่แค่สามัญสำนึกกระแสหลักแบบอนุรักษนิยมที่ activate ให้เราพูดแบบไม่เฉลียวคิดและทำร้ายกันและกันอย่างเชื่อว่าถูกต้องดีงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมการลดทอนความเป็นมนุษย์ลงเหลือแค่นมสองเต้าด้วย"
   
ถ้าเชื่อว่า ความคิดแวบแรกของคนคือสัญชาตญาณของความจริง ก็แสดงว่าสิ่งที่อาจารย์เกษียรเขียนคือสิ่งที่อาจารย์เกษียรเชื่อ
   
อาจารย์เกษียรได้ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้า เสมอกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์  ว่าที่อำมาตย์ กับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อำมาตย์รองกระทรวงเกษตรฯ ไปอย่างภาคภูมิแล้ว
   
ผมไม่รู้จัก "ตั๊ก บงกช" ในทุกสถานะมาก่อน เพิ่งมาเห็นตัวตนก็คราวนี้แหละครับ พูดง่ายๆ ข่าวบันเทิงผมมักแบ๊ะๆ เสมอ

   
ตั้งแต่หมดยุค "จินตหรา-สันติสุข" รวมถึง "ดอกฯ เด็จพี่พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์" ผมติดตามข่าวสารในวงการบันเทิงน้อยมาก ยิ่งยุคหลังๆ มานี้ดาราแทบเดินชนกันตาย เยอะเกินกว่าที่สมองผมจะเมมโมรี่ได้หมด

    
อ้อ..ยังมีอีกคนที่รู้จัก "ตั๊ก มยุรา" นั่นไง

   
มาเข้าเรื่อง "ตั๊ก บงกช" กันต่อ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยแบบไทยๆ แต่ก็นั่นแหละ อาจารย์เกษียรมองว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอม ตัดสินเธอจากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ที่เขียนว่า "แต่อากงไม่อยู่ก็ดีนะคะ แผ่นดินจะได้ดีขึ้น"

   
มองด้วยใจเป็นธรรม ไม่ถูกนักที่ "ตั๊ก บงกช" เขียนไปแบบนั้น เพราะธรรมเนียมคนไทยเราต่างรู้ดีว่า "คนล้มอย่าข้าม" และการตอบโต้อย่างหยาบนั้นสามารถเข้าใจได้หากมวลชนเสื้อแดงแสดงทัศนะต่างในโลกออนไลน์

   
แต่ก็เข้าใจได้ยากหากนั่นเป็นทัศนะของบุคคลระดับผู้นำทางความคิดของมวลชนแดง จะว่าไปแล้วอาจารย์เกษียรเป็นแบบอย่างของมวลชนแดงในระดับปัญญาชนด้วยซ้ำ
 
    
ก่อนเหตุการณ์เผาเมือง แกนนำแดงยุงส่ง เผาเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง วันนี้มีสุนัขตัวไหนออกมารับผิดชอบกันบ้าง ซ้ำยังเหวงๆ กันในห้องประชุมรัฐสภา โจมตีว่าทหารเป็นคนเผา

   
มีใครแอ่นอกรับผิดชอบสักคนมั้ยครับ
?
   
เช่นเดียวกับฉากไล่ล่า "ตั๊ก บงกช" ที่พัทยา โดยมีตำรวจนำ แดงตั้งแต่หัวยันหางออกมาเป่าปากกันเฟี้ยวไปหมดด้วยความชอบใจ

   
การวิจารณ์ "ตั๊ก บงกช" ของอาจารย์เกษียรคงไม่ส่งทางความคิดไปถึงแดงพัทยา เพราะถ้าคิดกันได้ภาพไล่ล่าคงไม่ออกมาให้เมืองพัทยาเสียบรรยากาศการท่องเที่ยว
 
   
แต่ได้ส่งผลด้านพฤติกรรม!
 
   
จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม นี่คือการใช้อำนาจเพื่อปกป้องพวกเดียวกัน ตามที่คิดกันว่าเมื่อพวกตัวอยู่ในอำนาจ ก็สามารถแสดงอำนาจโดยไม่ต้องสนใจกฎหมาย  เพราะผู้รักษากฎหมายก็คอยสนับสนุน และให้ความร่วมมือกับการใช้อำนาจนั้น

   
เมื่อคราวที่นักการเมืองต่างขั้วไปหาเสียงเลือกตั้ง ถูกด่าถูกจิกถูกปาของใส่โดยคนเสื้อแดง จำได้มั้ยครับวันนั้นแกนนำแดงพูดไว้อย่างไร

    "
คนเสื้อแดงมีความอดทนไม่เท่ากัน"

    
ถ้าวันนี้ เพื่อน หรือครอบครัวของ "ตั๊ก บงกช" ออกมาใช้คำคำเดียวกันนี้ "คนไม่ชอบเสื้อแเดงมีความอดทนไม่เท่ากัน" แกนนำแดงจะให้คำตอบว่าอย่างไร

   
อาจารย์เกษียรคงนั่งพิจารณาตัวดูแล้ว เห็นว่าไม่เหมาะถึงได้ลบข้อความออกจากเฟซบุ๊ก ถามว่าพอหรือไม่ คงพอถ้าเจ้าตัวเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริงว่าคืออะไร แต่ไม่พอเลยหากลบเพราะถูกรุมด่าในโลกออนไลน์

   
ปัญหาของประเทศในวันนี้คืออะไร "ผีอีแพง" ออกอาละวาด ข้าวของแพงไปหมด ยังมีหน้ามาเข้าฝันว่า "หุหุหุ...พวกเจ้าคิดไปเอง"

   
ของแพงสักพักธรรมชาติจะจัดสรรให้เอง แล้วปัญหาจะหมดไป อย่าไปโทษรัฐบาลเลย เพราะสุดท้ายรัฐบาลก็จะโทษธรรมชาติ ว่าน้ำท่วมมากไป พืชผลการเกษตรเสียหาย พอหน้าแล้งก็ร้อนเกินไป พืชผลการเกษตรไม่ออก ครั้นถึงหน้าหนาวปีนี้คงโทษว่าหนาวไป พืชผักอ่อนแอ เก็บเกี่ยวได้น้อย ดังนั้นเรามารอธรรมชาติกันเถอะแล้วจิตจะเบิกบานกว่าที่คิด

   
ปัญหาที่แท้จริงของประเทศในเวลานี้คือพลเมืองมี "ความเป็นคน"  น้อยลงไปต่างหาก น้อยลงไปทุกที สวนทางกับความเป็นเดรัจฉานที่มากขึ้น
   
ไม่พอใจอะไรก็ออกล่า
   
การล่าของสัตว์นั้นก็เพื่อดำรงชีวิต แต่มนุษย์ล่าเพื่อความสะใจ  หรือว่าเรามีพลเมืองที่เดรัจฉานเสียยิ่งว่าสัตว์แล้วอย่างนั้นหรือ

   
เรื่องนมใหญ่สุดท้ายมาขมวดปมเข้าเรื่อง ม.๑๑๒ มีคนตั้งธงให้เลิก หรือแก้ไข แต่บอกตรงๆ ถึงวินาทีนี้ ไม่เอาทั้งสองอย่าง เพราะไม่เชื่อว่าการแก้ไขในบรรยากาศแบบนี้ หรือภายใต้เครือข่ายของทักษิณจะเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่อ้างกัน

   
จริงอยู่นายกฯ ปู ไม่แก้ ม.๑๑๒ แต่คนในพรรคเพื่อไทยไม่ได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน พวกอยากแก้ อยากเลิกมีอยู่เยอะ และเมื่อแดงทั้งแผ่นดินสุกงอมเต็มที่ก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะยืนยันคำเดิม

   
ถ้าเราเชื่อถึงเหตุจำเป็นของการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อปกป้องเบื้องสูง ตามที่แกนนำแดง นักวิชาการแดงกล่าวอ้าง นั่นหมายความว่าการวิจารณ์สถาบันหลังจากนั้นจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์
   
ผู้คนจะตระหนักถึงการไม่ละเมิดให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย

   
แค่ความเห็นต่างของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งถูกดูถูกดูแคลนว่า นมโตสมองเล็ก  พวกคุณถึงขั้นจะเอาให้ตาย ถามว่าอำมาตย์ที่พวกคุณปลุกให้เกิดความเกลียดชังจะอยู่ในสภาพไหน หากไม่มีกฎหมายที่สมควรแก่สถานะมาปกป้อง
   
จะให้พระเจ้าอยู่หัวฟ้องหมิ่นประมาทประชาชนโดยตรงอย่างนั้นหรือ  อยากเห็นแบบ