วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์การเมืองไทย:ไทยโพสต์

โลกแห่งความเป็นจริงของเพื่อไทย
25 April 2555
    นี่ผมจะขอบคุณ "ด้วยชื่นชม" "พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว" ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เพียงท่านเดียวเห็นจะไม่ได้ ที่จริงใจ-เด็ดขาด "นำกำลังลงมือปฏิบัติการ" ถอนราก-ถอนโคน" ขบวนการค้ายาเสพติดที่ใช้ "คุก" เป็นแหล่งติดต่อซื้อ-ขาย ก็ต้องยกให้เป็นเครดิตท่านรองนายกฯ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ด้วย ที่จริง ตำรวจก็ขานรับนโยบายปราบขบวนการค้ายาพรึ่บพรั่บอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นปฏิบัติการยกกำลัง "รื้อคุก" สายฟ้าแลบของ พล.ต.ต.รณพงษ์ ๒ วัน ๒ ระลอกติดๆ
    ก็ติดตา-ติดใจครับ!
    เพราะนั่นแสดงถึงความความมุ่งมั่น และการตั้งใจจริงในการทำหน้าที่ของ พล.ต.ต.รณพงษ์ และนายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึง "นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์" ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีฯ     ถ้าต้องการค้นพอเป็นพิธีตาม "นายสั่ง" ให้ปรากฏเป็นผลงาน แค่ค้นทีเดียว เจอแค่ไหนก็แค่นั้น ขยิบหู-ขยิบตากันไป อะไรๆ ก็รู้ๆ กันอยู่ เมื่อโทรทัศน์ก็ออกแล้ว หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวแล้ว แค่นั้นขี้เกียจจะเข้าตานายเหลือเฟือ
    แต่ดูการวางแผน และการตรวจค้น พบทั้งยาเสพติด ทั้งโทรศัพท์มือถือไม่ว่าจะไอโฟน ไอแพดเป็นร้อยๆ เครื่อง สำหรับเครือข่ายติดต่อสั่งซื้อ-สั่งขายยาระหว่างลูกค้าภายนอก กับพ่อค้ารายใหญ่ที่ตัวถูกจับอยู่ในคุก และท่านระบุลงไปเลยว่า ที่เป็นอย่างนี้ได้
    "เจ้าหน้าที่เรือนจำ" ต้องเอี่ยว!
    ค้นครั้งเดียวเจอเป็นโกดัง...แค่นั้น ทั้งคนในคุกและเจ้าหน้าที่ก็ตายใจแล้วว่า "มันไม่มาค้นอีกแน่" แต่ที่ไหนได้ พล.ต.ต.รณพงษ์ท่านก็คงคำนวณแล้วเหมือนกันว่า...มันยังต้องมีซุกซ่อนอยู่อีกเพียบ     จึงใช้แผน "ตลบหลังลอกลาย" ในวันรุ่งขึ้น แล้วมันก็เพียบจริงๆ พบเครื่องมือสื่อสารอีกบานเบอะ จับนักโทษตรวจฉี่รายตัว "สีม่วง" เกือบครึ่งคุก ครั้นตรวจค้นบ้านเจ้าหน้าที่คุกบางคน     พบบัญชีเงินเป็นสิบ-เป็นร้อยล้าน!
    ผมเล่านี่เพียงสรุปๆ เอา คิดว่าหลายท่านคงติดตามข่าวคราวกันอยู่แล้ว แต่ประเด็นที่ผมตั้งใจจะคุยวันนี้ มันอยู่ตรงว่า นานๆ ทีจะได้เห็นการทำงานของตำรวจแบบจริงๆ จังๆ เข้าตาอภิมหาประชาชน ประเภทที่ไม่ใช้ "ฉาก" ผมก็เลยปลื้มกับนายตำรวจท่านนี้     ถ้าใช้ "ฉาก" ในการถ่ายทำ บุกค้น-บุกจับเหมือนจับโสเภณีตามซ่องพอเป็นพิธีในยุคก่อนๆ พอให้ได้ชื่อว่า "กวดขันจับกุม" ลงบันทึกประจำวันรอให้นายมาตรวจ แค่นั้นก็รอดตัวแล้ว แถมจะมีมือที่มองไม่เห็นจัดสรร "ส่วนแบ่งรายเดือน" มาวางให้บนโต๊ะ..เอ๊ย...ใต้โต๊ะทุกเดือนด้วยซ้ำ
    ก็ค่า "พอเป็นพิธี" ไงเล่า...ทำเป็นไก๋!?    แต่รายที่นครศรีฯ นี้ ฟังที่ท่านพูด และดูการขยายผลจับกุม รวมถึงที่ท่านบอกว่า จะนำโทรศัพท์เป็นร้อยๆ เครื่องนั้นไปแกะเบอร์ เพื่อสาวให้ถึงพวกขบวนการค้ายา และพวกเจ้าหน้าที่ที่ "สมคบ" กับพ่อค้ายาในคุก ผมค่อนไปทางเชื่อใจท่าน แม้หากจับได้ทีหลังว่าเป็นการแสดงละคร
    ผมก็จะมอบตุ๊กตาทองให้ท่าน!
    เรื่องตำรวจที่ผมเห็นการทำงานแล้วขอยกย่องก็มีแค่นี้แหละครับ ถ้าไม่นำมาบอกกล่าวกัน อาจเข้าข่ายละเลยการปฏิบัติหน้าที่
    เรื่องที่จะคุยกันต่อไป เอาเรื่องนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะนำคณะรัฐมนตรีเข้ารดน้ำดำหัวขอพรประธานองคมนตรี "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" เนื่องในเทศกาลสงกรานต์-ปีใหม่ของไทยเราดีมั้ย?    ดี...!
    ครับ มันต้องดี เพราะเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ดี เมื่อผู้ใดปฏิบัติ ผู้นั้นก็ถือว่าทำดี ทำในสิ่งที่ควรทำในกาลอันควร นอกจากแสดงถึงผู้น้อยเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่แล้ว โดยเฉพาะผู้ใหญ่ระดับนายกฯ และคณะรัฐมนตรีประพฤติปฏิบัติ ถือเป็นแบบอย่างชนิดว่า "๑ ทำ มีคุณค่ากว่า ๑๐๐ พูด"
    ลูกเล็กเด็กแดงเห็นแล้ว จะได้จำแบบอย่างดีๆ ไปปฏิบัติสืบๆ ต่อกันไป ฉะนั้น การที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นนายกฯ มาก็เกือบจะครบปี ได้ทำอะไรที่ถูกต้อง ผู้คนนำไปสรรเสริญแทนนินทาซักที คุ้มยิ่งกว่าได้ซื้อแฟลตปลาทอง!
    ส่วนลึกลงไปในใจท่านจะคิดเห็นอย่างไรต่อการเข้ารดน้ำดำหัวพลเอกเปรม มันเป็นเรื่องลึกในใจท่าน ผมมิบังอาจเอื้อมมือลงไปล้วง เอาเฉพาะที่เห็นภายนอกก็พอ ผมก็เห็นว่า     นายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำถูกแล้ว!
    ส่วนรัฐมนตรีคนไหนไม่พร้อมใจ หรือตะขิด-ตะขวงใจเพราะเคยด่าพลเอกเปรมเสียๆ หายๆ ไว้มาก ไม่กล้าไปร่วมขบวนรดน้ำดำหัวครั้งนี้ด้วย ผมก็ไม่คิดตำหนิ หรือตั้งเจตนาคอยจ้องว่าใครจะไป หรือไม่ไปบ้าง
    เพราะการรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ ไม่ใช่ใครจะประกาศิต คือใช้อำนาจบังคับให้ใครต้องทำ เหมือนอย่างทักษิณที่โฟนอินมาสั่งกลางวงประชุมพรรคเพื่อไทย
    "ไอ้คนนั้น อย่าให้มันลงสมัคร ส.ส. ไอ้คนนี้เสือกไปสอบตกที่ปทุมธานี ทำขายขี้หน้า ไล่มันออกไปจากพรรค" ซึ่งทักษิณทำกับ ส.ส.ในพรรคเขาได้ เพราะที่นั่นเขายึดถือระบบ "นายทาส" กับ "ทาสไพร่"
    แต่สำหรับพรรคอื่น และสังคมอื่นๆ ทั่วไป ไม่มีใครบังคับขับไสให้ใครต้องเคารพใคร หรือต้องไปรดน้ำดำหัวใครโดย "ใจ" ของคนนั้นไม่เคารพ!
    เคยดูมวยไทยมั้ย เตะ ต่อย กระทืบกัน เหมือนมีเรื่องอาฆาตโกรธแค้นชนิดอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แต่พอครบ ๕ ยก หรือปรากฏผลแพ้-ชนะ ถ้าผู้ชนะอาวุโสกว่า ก็จะไปให้กำลังใจผู้แพ้ ซึ่งเป็นรุ่นน้อง แต่ถ้ารุ่นน้องชนะรุ่นพี่ ก่อนลงเวที จะไปกราบขอโทษ-ขออภัยรุ่นพี่ที่ล่วงเกิน
    นักมวยบางคน ถึงก้มลงกราบแทบเท้า เป็นการขอขมาต่อรุ่นอาวุโส!
    นั่นเป็นวัฒนธรรม "จิตใจ" ที่ดีงามของคนไทย รู้แพ้-รู้ชนะ-รู้อภัย ผู้น้อยเคารพผู้อาวุโส ผู้อาวุโสไม่ผูกใจถือสาผู้น้อย สังคมไทยจึงน่ารัก-น่าอยู่เป็นที่อิจฉาของคนชาติอื่น เพราะไม่มีที่ไหน นอกจากที่ประเทศไทยที่เดียว
    แต่วันนี้ นับจากทักษิณเหิมเกริมจะเปลี่ยนแผ่นดิน ยุแยง-แบ่งแยกชาวบ้านให้แตกเป็นฝัก-เป็นฝ่าย "วัฒนธรรมจิตใจ" คนไทยก็เลยหายไป มี "วัฒนธรรมพยาบาท" ฆ่าแล้วเผา ถ้าไม่ใช่พวกเราอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้ เข้ามาแทน!
    ลิเก ละเม็งละครก็เหมือนกัน จบการแสดงแล้ว ที่ผิดบ้างพลั้งไป ผู้น้อย-ผู้ใหญ่ เขาก็ยกมือไหว้ขออภัย ขอขมากัน ก็มีแต่ "การเมือง" เรื่องเปลี่ยนแผ่นดิน-ล้มสถาบันนี่แหละ หลายๆ คนไม่รู้จักวัฒนธรรมจิตใจ ไม่รู้จักผู้น้อย-ผู้ใหญ่     แม้กระทั่งกาลอันควร อันเป็นโอกาสให้กราบขอขมาในความผิดพลาด สู่บรรยากาศปรองดองแท้จริง กลับไม่ทำ แต่กลับมุ่งมั่นทำ
     -บนดิน ใช้รัฐสภาเดินเกม หวังครองอำนาจบริหารชนิด "ฝังราก-ฝังเขี้ยว" ตลอดกาล
    -ใต้ดิน ตอนอำนาจรัฐ แยกประชาชน ตั้งเขตปกครอง ปลุกปั่นให้เกลียดระบอบ-ล้มสถาบัน
    ก็อยากจะบอกเหมือนกันว่า "ปล่อยให้ไปตามเวร-ตามกรรม" แต่ก็สงสาร เพราะเวร-กรรมที่เขาต้องเป็นไปในข้างหน้าอีกไม่กี่เดือนนั้น มันน่ากลัว น่าขนพองสยองเกล้าจริงๆ     ก็พี่น้องไทยด้วยกัน ไม่ได้ "เลวโดยสายเลือด" เพียงแต่หลงใหลไปตามอามิสสินจ้าง และลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ชั่วครั้ง-ชั่วครู่ และบางคนก็แห่ตามกันไป ครั้นจะกลับตัว-กลับใจ พวกหมู่ก็ไม่ยอม ผมจึงอยากให้สติ ประเภทสัมมาสติ ถ้าต้องการให้บ้านเมืองอยู่กันแบบปรองดอง
    ต้องเริ่มทำให้เห็นจากใจ-จากจิตสำนึก และต้องละเลิกสิ่งคิด-สิ่งทำอันเป็นอนันตริยกรรมกับบ้านเมือง จากนั้นให้กาลเวลาหมักบ่มสิ่งแตกแยกแต่ละชิ้น-แต่ละอันไปเรื่อยๆ แล้วมันจะรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันเอง!
    ไอ้ปรองดองอย่างที่ทำ ถือดีในอำนาจรัฐ ถือดีว่าเสียงข้างมากในรัฐสภา เขียนกฎหมายเอาข้างเดียว แล้วบอกว่าปรองดอง     ใครปรองด้วย ใครดองด้วย?     ก็ไม่มี...!
    มีแต่พวกที่เห็นว่าประโยชน์จะได้กับตัวด้วยเท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่เขาก็ไม่ปรองดองแบบ "ทักษิณมีอภิสิทธิ์เหนือประเทศไทย" แต่ฝ่ายเดียวอย่างที่ทำกันอยู่ขณะนี้
    ทำดีกับสังคมชาติบ้านเมือง รู้จักผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ไม่เหิมเกริมถือดีในอำนาจ ไม่เนรคุณชาติ-สถาบันและแผ่นดินเกิด โดยเฉพาะ อย่ายุแยง แบ่งแยกพี่น้องประชาชนให้เกลียดชังกันเอง แล้วความสามัคคีปรองดองมันจะเกิดขึ้นเอง เพราะธาตุประเสริฐของคนไทยมีอยู่พร้อม     คือการให้อภัย-ไม่ถือโกรธ!
    การที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปกราบขอพรพลเอกเปรม นั่นคือ "ชิ้นส่วน" ให้กาลเวลาทำหน้าที่ย่อยรวมสู่ความปรองดองอย่างหนึ่งในอนาคต ยิ่งลักษณ์ทำคนเดียว ชิ้นส่วนหมักรวมสู่เนื้อปรองดองก็น้อย     ถ้าไปกันมากๆ ยกทั้ง ครม.และ ส.ส.ทั้งพรรคเพื่อไทยไปด้วยแล้ว ชิ้นส่วนหมักรวมสู่เนื้อปรองดองมันก็ยิ่งมาก มันก็จะยิ่งทำให้รวมเนื้อสู่ปรองดองได้เร็วขึ้น!
    หลายๆ คนในเพื่อไทยชอบพูด "เมื่อไหร่จะก้าวข้ามทักษิณพ้นเสียที"
    ก็อยากบอกว่า พวกคุณ-พวกท่านเพื่อไทยนั่นแหละ....
    เมื่อไหร่สลัดบ่วงทาส แล้วก้าวข้ามทักษิณสู่ "โลกแห่งความเป็นจริง" ซะที?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น