วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์การเมืองไทย:มติชน

เล่นเกมยอดพีระมิดระวังฐานถล่ม คำเตือน-คำถามจาก"ธิดา" วัน"แดง"แทงเล่นเกมยอดพีระมิดระวังฐาน
สัมภาษณ์พิเศษ (ที่มา:มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 30 เมษายน 2555)
ในห้วงที่ "รัฐบาล" ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินหน้าตาม "แผนปรองดอง" ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ เดินสายทำความเข้าใจทุกภาคส่วน ทั้งเปิดเผย-ปิดเงียบ

ในทางเปิดเผย สะท้อนผ่านภาพการนำ "3 รองนายกรัฐมนตรี" มุดบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อรดน้ำอวยพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ย้อนหลัง

ส่วนในทางลับ ไม่มีใครรู้ว่าเวลา "30 นาที" ที่

"เจ้าบ้าน-ผู้ไปเยือน" ปิดห้องคุยกัน สาระสำคัญคืออะไร

ทว่าการทอดสัมพันธ์ไปยังเหล่า "อำมาตย์" แบบโจ๋งครึ่ม ทำให้ "คนเสื้อแดง" ซึ่งเป็นฐานมวลชนของ "พรรคเพื่อไทย (พท.)" เริ่มแคลงใจ ถึงขั้นแค้นเคืองการสร้างความปรองดองด้วยวิถีเช่นนี้

"มติชน" มีโอกาสพูดคุยกับ ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถึงจุดยืน-ความสัมพันธ์-ข้อเรียกร้องของ "คนเสื้อแดง" ที่อาจจะแปรเปลี่ยนไปหาก "พท.-รัฐบาล-พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เปลี่ยนอุดมการณ์

- การเข้าพบ พล.อ.เปรมของนายกฯ จะทำให้บรรยากาศการปรองดองดีขึ้นหรือไม่

ประชาชนส่วนอื่นที่ไม่ใช่คนเสื้อแดงคงรู้สึกสบายใจ รู้สึกว่าอืม... (ลากเสียง) บรรยากาศการเมืองจะคลี่คลาย แต่ในส่วนของคนเสื้อแดง ดิฉันคิดว่าส่วนใหญ่สนับสนุนสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำ แต่มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่แน่ใจ และไม่เห็นด้วยไปเลย ตรงนี้ทำให้คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งมองการปรองดองอย่างระแวง เพราะเขาต้องการให้ดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำผิด

ภาพที่ออกมามีความประนีประนอม แล้วปรากฏว่ามันทำไม่ได้ด้วยเนื้อหาของความจริง มันจะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในหมู่มวลชนว่าคุณจะพาเราไปทางไหนกัน เราไม่สามารถจะเดินตามหลังอำมาตย์และอยู่ในระบบอำมาตย์ ตอนนี้คุณบอกว่าเป็นรัฐบาลแล้วพยายามทำให้มันดีขึ้น เขาก็กัดฟันทน ดิฉันก็บอกให้เขากัดฟันทนนะ ให้อดทน (เสียงเข้ม) ต้องอดทนอย่างยิ่ง เพราะเส้นทางนี้มันยังยาว ในทุกชัยชนะจะมีปัจจัยความพ่ายแพ้เกิดปรากฏขึ้นทันที

- คนเสื้อแดงมองท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณต่อ พล.อ.เปรมที่อ่อนลงอย่างไร ทั้งที่เมื่อก่อนหน้านี้ประกาศเป็นศัตรูอย่างไม่ปิดบัง

คุณทักษิณเป็นนักการเมืองที่หวังผลสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว เขาเป็นคนใจร้อน กระบวนการและวิธีการของคุณทักษิณ เขาแปรเปลี่ยนได้เสมอ อาวุธที่ใช้ โยนแล้วเปลี่ยนใหม่ได้ ทฤษฎีที่ใช้ โยนแล้วเปลี่ยนใหม่ได้ กระทั่งพรรคที่มีอยู่ โยนแล้วเปลี่ยนใหม่ได้ การเมืองบางคนสุดยอด เขาบอกว่าเอาศัตรูมาเป็นพวก เราต้องเข้าใจสิ่งนี้ ในฐานะที่เขาเป็นมิตรที่สำคัญ

- แม้เป็นมิตรที่สำคัญ แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณเกี้ยเซี้ยกับอำมาตย์ แล้วสามารถทำตามความคิดของตัวเองได้ทั้งหมด วันนั้นจุดยืนของคนเสื้อแดงจะเป็นอย่างไร

คือเรา...(อ้ำอึ้ง) จุดยืนของเราไม่เคยเปลี่ยน คุณจะเล่นเกมยอดพีระมิดก็เล่นกัน เราไม่เล่นด้วย เราเล่นเกมมวลชนอย่างเดียว แต่สำหรับคุณทักษิณแล้ว ดิฉันคิดว่าคุณทักษิณไม่ใช่คนโง่ เมื่อเขาไม่ใช่คนโง่ เขาก็ยังสั่งคนในพรรคว่าต้องใกล้ชิดประชาชน เขาสั่งว่าวันไหนที่ประชาชนไม่เอาด้วย เขาก็จะไม่เอา คุณทักษิณจะบริหารความขัดแย้งนี้พอสมควร คุณทักษิณไม่ยอมเสียประชาชนหรอก

- รับประกันได้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีทางทิ้งคนเสื้อแดง

ไม่อยากพูดอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคนเสื้อแดงบ่มิไก๊สิ กลัวว่าคุณทักษิณจะทอดทิ้ง มันไม่ใช่ แค่บอกว่าคุณทักษิณฉลาดไม่สามารถที่จะแยก ห่าง หรือทิ้งคนเสื้อแดง ความจริงถ้าคุณทักษิณทิ้งประชาชน เขาก็ไม่มีที่ยืน (หัวเราะ) สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เขาบอกว่า คนเสื้อแดง พท. และคุณทักษิณ ต้องอยู่ด้วยกันตลอด ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดพังหมด ใครทิ้งใคร คนนั้นก็แพ้ เมื่อก่อนเราชอบว่าเสื้อเหลืองว่าไม่ก้าวข้ามคุณทักษิณ ฝั่งเสื้อแดงก็ไม่ก้าวข้าม พล.อ.เปรม พวกนั้นด่าคุณทักษิณ แล้วถ้ายิงคุณทักษิณให้ตายไป ถามว่าเสื้อแดงยังอยู่ไหม ก็ยังอยู่ แล้วยิ่งแค้นหนักด้วย เหมือนกันทางโน้น (ชี้นิ้ว) ถ้าป๋าเปรมไม่อยู่ คนเสื้อแดงก็ต้องสู้กับอำมาตย์ แต่ไม่ใช่ป๋าเปรม อันนี้ท้าทาย

วันนี้ได้แต่บอกคนเสื้อแดงว่าจุดหมายเราอีกยาวไกล เราต้องอดทน ถ้าเป้าหมายเราเหมือนกัน เรามีหลักการใหญ่เหมือนกัน รายละเอียดต่างกันก็ต้องอดทน อดเปรี้ยวไว้กินหวาน อย่าไปเห็นเงาในน้ำมากกว่าสิ่งที่มีอยู่ คิดว่าเงาในน้ำเป็นเนื้อก้อนใหญ่เลยทิ้ง อย่างนั้นคิดไม่ถูก คนเสื้อแดงจะไปโกรธเคืองที่คุณยิ่งลักษณ์ไปรดน้ำป๋าเปรมไม่ได้ทั้งหมด วันนี้เราต้องให้ทะลุเลยป๋าเปรมไป ให้ก้าวข้ามป๋าเปรม แต่อย่าเพิ่งพูดนะว่าดิฉันพูดว่าก้าวข้ามป๋าเปรม ดิฉันตายนะ (หัวเราะ) ยังพูดไม่ได้

- ถึงวันนี้ความไว้วางใจของคนเสื้อแดงต่อรัฐบาลและพท. ลดน้อยลงหรือไม่

ช่วงแรกก็เต็ม 100 พออยู่ไปก็จะมีคนตั้งคำถาม ตอนแรกอืม! ต่อมาก็เอ๊ะ! หนักเข้าก็โอ๊ย! จนกระทั่งออกมาบอกว่าพอแล้วไม่เอาแล้ว อย่างดิฉันก็เข้าใจรัฐบาลว่าเขาเป็นรัฐบาลของประชาชนทุกคน แต่คนรากหญ้าเขาซื่อๆ แม้เขารักคุณยิ่งลักษณ์ รักคุณทักษิณ แต่เขาก็ตั้งคำถาม เวลาเขาตั้งคำถามแล้วไปทางไหนก็ทางนั้นนะ เอาก็เอา ไม่เอาก็ไม่เอาไปเลย ตอนนี้ความไม่วางใจมันเริ่มพุ่งสูงขึ้น ตรงนี้ซึ่งรัฐบาลกับพรรคต้องเรียนรู้

- การที่รัฐบาลเริ่มหันจับเข่าคุยกับอำมาตย์ ทำให้คนเสื้อแดงไม่พึงพอใจกี่เปอร์เซ็นต์ และพึงพอใจกี่เปอร์เซ็นต์

เป็นคำถามที่ประเมินยาก (อ้ำอึ้ง) แต่ก็ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยว่าให้รัฐบาลทำ รัฐบาลมีสิทธิไปเจรจา ทำให้ภาพของการปรองดองดีขึ้น แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิละเลยการทวงคืนความยุติธรรมด้วย เช่น การปล่อยคนออกจากเรือนจำ เร่งให้มีการประกันตัว เป็นต้น คนเสื้อแดงไม่อนุญาตเด็ดขาด หากรัฐบาลจะเลือกทำแค่อย่างเดียว แล้วมาบอกว่าให้เราลืมทุกอย่าง นี่เป็นขั้นต่ำสุดที่จะยอมรับได้ ส่วนคนเสื้อแดงอีก 20-30 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยไปเลย เพราะในเมื่อแกนนำเคยนำ พล.อ.เปรมมาเป็นสัญลักษณ์ปลุกเร้า เขาก็มองเป็นแบบนั้นไปแล้ว คนจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นระดับแกนนำภูมิภาคและระดับท้องถิ่น ซึ่งเขายกระดับจากผู้ปฏิบัติงานจากรากหญ้า คนเหล่านี้จะมีการรับรู้และวิเคราะห์ค่อนข้างสูง เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้บรรลุ ยิ่งกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว เขาคิดว่ารัฐบาลไม่ต้องทำอะไรกับอำมาตย์ เขาคิดว่า พล.อ.เปรมไม่ควรอยู่ในฐานะที่จะแสดงตัวทางการเมือง ควรจะโลว์โพรไฟล์ รัฐบาลไม่ควรไปส่งเสริม

- คนไม่สนับสนุนจำนวน 20-30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นแกนนำ อาจจะใช้ความเป็นแกนนำทำให้คน 70-80 เปอร์เซ็นต์ เปลี่ยนความคิดไม่สนับสนุนรัฐบาลได้ง่าย

เปอร์เซ็นต์มันแปรเปลี่ยนได้ ตอนนี้มันมีคนสีเทาอยู่ สมมุติว่าถ้าคุณยิ่งลักษณ์พยายามเจรจากับอำมาตย์ แล้วคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้สนใจที่จะทำให้เกิดความยุติธรรม เท่ากับว่าคุณยิ่งลักษณ์กำลังสร้างความขัดแย้งใหม่กับคนเสื้อแดงขึ้นมา เป็นความขัดแย้งที่เกิดจากความพยายามปรองดองกับอำมาตย์ ดังนั้น คุณยิ่งลักษณ์ต้องทำทุกอย่างพอดี ไม่ให้น้ำหนักด้านหนึ่งด้านใดมากเกินไป ความขัดแย้งที่จะมีกับกลุ่มเสื้อแดงก็ลดลง แต่ถ้าทำไม่ดีคนที่ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ก็จะลากพวกแดงเฉดอ่อนให้ต่อต้านไปด้วย อาจจะกลับเป็น 70-80 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วย อีก 20-30 เห็นด้วยก็ได้ มาถึงวันนี้คนเสื้อแดงตื่นตัวพอจะวินิจฉัยอะไรได้ พวกแกนนำก็ต้องดูซ้ายดูขวาเหมือนกันว่า เฮ้ย! คนเขาคิดกับเรายังไง

- ขณะนี้รัฐบาลมีความพยายามทำความจริงให้ปรากฏมากน้อยแค่ไหน

(ตอบสวนทันที) รัฐบาลและคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ก็ยังทำได้ไม่ดี แต่ก็อาจเป็นเพราะ คอป.ไม่ได้รับอำนาจ

ในการเรียกคนมาสอบสวน แต่เราคิดว่า คอป.ควรทำได้ดีกว่านี้ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ

(ดีเอสไอ) ยิ่งลำบากใหญ่ มันทำงานกันช้ามาก จนทำให้คนเสื้อแดงอึดอัด คนเสื้อแดงเข้าใจว่ารัฐบาลมีข้อจำกัด รัฐบาลไปสั่งศาลไม่ได้ แต่คุณต้องแสดงตรงนี้

- หากไม่เยียวยาให้หมดทุกด้าน คนเสื้อแดงไม่พร้อมที่จะปรองดองตามแนวที่รัฐบาลกำลังเดินหน้า

ไม่ใช่ๆ ทุกอย่างมันแปรเปลี่ยนไม่มีอะไรหยุดนิ่งอยู่กับที่

- ผลการเลือกตั้งที่จังหวัดปทุมธานีสะท้อนอะไร

มันมีปัญหา เดี๋ยวคอยดูหากมีการเลือกตั้งซ่อมทั้งมีนบุรี ดอนเมือง เป็นต้น มันจะแปรเปลี่ยนได้ ตีกลับได้ อย่างเมื่อก่อนเขาคิดว่ามี 100 แล้วคิดว่า 100 จะอยู่กับเขาเสมอ ไม่หนีหายไปไหน คิดว่ากูจะทำยังไงก็ได้ มันไม่ใช่แล้ว ส่วนกรณีที่คนเสื้อแดงอยากเข้าไปเป็นตัวแทน พท. ลงสมัคร ส.ส. เช่น การเลือกตั้งซ่อมจังหวัดเชียงใหม่ ดิฉันได้โฟนอินไปทำความเข้าใจแล้ว ซึ่งคนเสื้อแดงว่า บางพื้นที่แกนนำคนเสื้อแดงมีกำลังอยู่แค่ 3,000 เกิดแพ้มามันจะยังไง มันก็แย่สิ คุณไม่มีสิทธิใช้ตำแหน่งแกนนำคนเสื้อแดง แล้วไปกันท่าคนอื่น คุณจะไปกันท่าคนอื่นเขาได้ยังไง ฉะนั้น มันต้องบริหารให้ได้

บทวิเคราะห์การเมืองไทย:ข่าวสด

สัมพันธ์ การเมือง รัฐบาล พรรค มวลชน กรณี คนเสื้อแดง
กรณีการ เข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะรองนายกรัฐมนตรี ได้ให้บทเรียนอย่างสำคัญทั้งในทางการเมืองและในทางรัฐศาสตร์

ขอให้พิจารณาจากคำพูดของ นางธิดา โตจิราการ ประธาน นปช.ที่ว่า

"เป็น เรื่องของรัฐบาลในฐานะผู้ปกครองที่จะทำให้การบริหารประเทศเป็นไปอย่างราบ รื่นขอยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเสื้อแดง"

นี่ย่อมเป็นการกล่าวในลักษณะแยกจำแนก

แยก จำแนกให้เห็นความแตกต่างระหว่างรัฐบาล กับ พรรคเพื่อไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน

มีความสัมพันธ์กันแต่มีภาระหน้าที่และกระบวนการทำงานไม่เหมือนกัน

หากแยกไม่ออกระหว่างสถานะแห่งรัฐบาล กับ สถานะแห่งพรรคการเมือง และกับสถานะแห่งองค์กรมวลชน ก็จะเกิดความสับสน

เป็นความสับสนและเป็นความยุ่งเหยิง

อย่า ว่าแต่ระยะห่างอันก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดงเลย แม้กระทั่งระหว่างรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยก็จำเป็นต้องพิจารณาตามความเป็นจริง

ความเป็นจริง 1 ที่รัฐบาลไม่ได้มีแต่พรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียว

ตรง กันข้าม รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีพรรคเพื่อไทยเป็นด้านหลัก แต่ก็มีพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรคพลังชล พรรคมหาชน เป็นส่วนประกอบ

อย่างที่เรียกกันว่าพรรคร่วมรัฐบาล

การบริหาร ราชการแผ่นดินตามนโยบายอันแถลงต่อรัฐสภาเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 อาจมีของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นแกนหลัก แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่ให้ความสนใจต่อพรรคร่วมรัฐบาลเสียเลย

ตรงนี้ย่อมมีความละเอียดอ่อนและต้องเคารพต่อกันและกัน

ขณะ เดียวกัน เมื่อรัฐบาลประกอบส่วนขึ้นเช่นนี้ ยิ่งทำให้การจัดความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทยและต่อกลุ่มคนเสื้อแดงยิ่งต้อง มากด้วยความระมัดระวัง

ต้องยอมรับในความแตกต่างระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มคนเสื้อแดง

พื้นฐานที่สุดก็คือ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมือง จดทะเบียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แสดงเจตจำนงเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง

เมื่อได้รับเลือกชนะเป็นอันดับ 1 ก็มีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล บริหารประเทศ

ขณะ ที่กลุ่มเสื้อแดงมิได้เป็นพรรคการเมือง หากแต่เป็นการรวมตัวของประชาชนเข้าเป็นองค์กรมวลชนเป็นการเมืองในภาคประชาชน มิได้ยึดโยงกับระเบียบข้อบังคับเหมือนพรรคการเมือง

รัฐบาล พรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง จึงทั้งร่วมกันและเป็นอิสระจากกัน

กระนั้น หากกล่าวระหว่างพรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงสายสัมพันธ์มีความใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ

เป็น ความสัมพันธ์ทางความคิด เป็นความสัมพันธ์ทางการเมืองและบางส่วนอาจสัมพันธ์กันในทางการจัดตั้ง ขณะที่บางส่วนก็ประกาศตนเป็นอิสระไม่สัมพันธ์กันในทางการจัดตั้ง

กระบวนการบริหารความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำว่ามีมา
กน้อยเพียงใด

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์การเมืองไทย:ไทยโพสต์

โลกแห่งความเป็นจริงของเพื่อไทย
25 April 2555
    นี่ผมจะขอบคุณ "ด้วยชื่นชม" "พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว" ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เพียงท่านเดียวเห็นจะไม่ได้ ที่จริงใจ-เด็ดขาด "นำกำลังลงมือปฏิบัติการ" ถอนราก-ถอนโคน" ขบวนการค้ายาเสพติดที่ใช้ "คุก" เป็นแหล่งติดต่อซื้อ-ขาย ก็ต้องยกให้เป็นเครดิตท่านรองนายกฯ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ด้วย ที่จริง ตำรวจก็ขานรับนโยบายปราบขบวนการค้ายาพรึ่บพรั่บอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นปฏิบัติการยกกำลัง "รื้อคุก" สายฟ้าแลบของ พล.ต.ต.รณพงษ์ ๒ วัน ๒ ระลอกติดๆ
    ก็ติดตา-ติดใจครับ!
    เพราะนั่นแสดงถึงความความมุ่งมั่น และการตั้งใจจริงในการทำหน้าที่ของ พล.ต.ต.รณพงษ์ และนายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึง "นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์" ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีฯ     ถ้าต้องการค้นพอเป็นพิธีตาม "นายสั่ง" ให้ปรากฏเป็นผลงาน แค่ค้นทีเดียว เจอแค่ไหนก็แค่นั้น ขยิบหู-ขยิบตากันไป อะไรๆ ก็รู้ๆ กันอยู่ เมื่อโทรทัศน์ก็ออกแล้ว หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวแล้ว แค่นั้นขี้เกียจจะเข้าตานายเหลือเฟือ
    แต่ดูการวางแผน และการตรวจค้น พบทั้งยาเสพติด ทั้งโทรศัพท์มือถือไม่ว่าจะไอโฟน ไอแพดเป็นร้อยๆ เครื่อง สำหรับเครือข่ายติดต่อสั่งซื้อ-สั่งขายยาระหว่างลูกค้าภายนอก กับพ่อค้ารายใหญ่ที่ตัวถูกจับอยู่ในคุก และท่านระบุลงไปเลยว่า ที่เป็นอย่างนี้ได้
    "เจ้าหน้าที่เรือนจำ" ต้องเอี่ยว!
    ค้นครั้งเดียวเจอเป็นโกดัง...แค่นั้น ทั้งคนในคุกและเจ้าหน้าที่ก็ตายใจแล้วว่า "มันไม่มาค้นอีกแน่" แต่ที่ไหนได้ พล.ต.ต.รณพงษ์ท่านก็คงคำนวณแล้วเหมือนกันว่า...มันยังต้องมีซุกซ่อนอยู่อีกเพียบ     จึงใช้แผน "ตลบหลังลอกลาย" ในวันรุ่งขึ้น แล้วมันก็เพียบจริงๆ พบเครื่องมือสื่อสารอีกบานเบอะ จับนักโทษตรวจฉี่รายตัว "สีม่วง" เกือบครึ่งคุก ครั้นตรวจค้นบ้านเจ้าหน้าที่คุกบางคน     พบบัญชีเงินเป็นสิบ-เป็นร้อยล้าน!
    ผมเล่านี่เพียงสรุปๆ เอา คิดว่าหลายท่านคงติดตามข่าวคราวกันอยู่แล้ว แต่ประเด็นที่ผมตั้งใจจะคุยวันนี้ มันอยู่ตรงว่า นานๆ ทีจะได้เห็นการทำงานของตำรวจแบบจริงๆ จังๆ เข้าตาอภิมหาประชาชน ประเภทที่ไม่ใช้ "ฉาก" ผมก็เลยปลื้มกับนายตำรวจท่านนี้     ถ้าใช้ "ฉาก" ในการถ่ายทำ บุกค้น-บุกจับเหมือนจับโสเภณีตามซ่องพอเป็นพิธีในยุคก่อนๆ พอให้ได้ชื่อว่า "กวดขันจับกุม" ลงบันทึกประจำวันรอให้นายมาตรวจ แค่นั้นก็รอดตัวแล้ว แถมจะมีมือที่มองไม่เห็นจัดสรร "ส่วนแบ่งรายเดือน" มาวางให้บนโต๊ะ..เอ๊ย...ใต้โต๊ะทุกเดือนด้วยซ้ำ
    ก็ค่า "พอเป็นพิธี" ไงเล่า...ทำเป็นไก๋!?    แต่รายที่นครศรีฯ นี้ ฟังที่ท่านพูด และดูการขยายผลจับกุม รวมถึงที่ท่านบอกว่า จะนำโทรศัพท์เป็นร้อยๆ เครื่องนั้นไปแกะเบอร์ เพื่อสาวให้ถึงพวกขบวนการค้ายา และพวกเจ้าหน้าที่ที่ "สมคบ" กับพ่อค้ายาในคุก ผมค่อนไปทางเชื่อใจท่าน แม้หากจับได้ทีหลังว่าเป็นการแสดงละคร
    ผมก็จะมอบตุ๊กตาทองให้ท่าน!
    เรื่องตำรวจที่ผมเห็นการทำงานแล้วขอยกย่องก็มีแค่นี้แหละครับ ถ้าไม่นำมาบอกกล่าวกัน อาจเข้าข่ายละเลยการปฏิบัติหน้าที่
    เรื่องที่จะคุยกันต่อไป เอาเรื่องนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะนำคณะรัฐมนตรีเข้ารดน้ำดำหัวขอพรประธานองคมนตรี "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" เนื่องในเทศกาลสงกรานต์-ปีใหม่ของไทยเราดีมั้ย?    ดี...!
    ครับ มันต้องดี เพราะเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ดี เมื่อผู้ใดปฏิบัติ ผู้นั้นก็ถือว่าทำดี ทำในสิ่งที่ควรทำในกาลอันควร นอกจากแสดงถึงผู้น้อยเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่แล้ว โดยเฉพาะผู้ใหญ่ระดับนายกฯ และคณะรัฐมนตรีประพฤติปฏิบัติ ถือเป็นแบบอย่างชนิดว่า "๑ ทำ มีคุณค่ากว่า ๑๐๐ พูด"
    ลูกเล็กเด็กแดงเห็นแล้ว จะได้จำแบบอย่างดีๆ ไปปฏิบัติสืบๆ ต่อกันไป ฉะนั้น การที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นนายกฯ มาก็เกือบจะครบปี ได้ทำอะไรที่ถูกต้อง ผู้คนนำไปสรรเสริญแทนนินทาซักที คุ้มยิ่งกว่าได้ซื้อแฟลตปลาทอง!
    ส่วนลึกลงไปในใจท่านจะคิดเห็นอย่างไรต่อการเข้ารดน้ำดำหัวพลเอกเปรม มันเป็นเรื่องลึกในใจท่าน ผมมิบังอาจเอื้อมมือลงไปล้วง เอาเฉพาะที่เห็นภายนอกก็พอ ผมก็เห็นว่า     นายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำถูกแล้ว!
    ส่วนรัฐมนตรีคนไหนไม่พร้อมใจ หรือตะขิด-ตะขวงใจเพราะเคยด่าพลเอกเปรมเสียๆ หายๆ ไว้มาก ไม่กล้าไปร่วมขบวนรดน้ำดำหัวครั้งนี้ด้วย ผมก็ไม่คิดตำหนิ หรือตั้งเจตนาคอยจ้องว่าใครจะไป หรือไม่ไปบ้าง
    เพราะการรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ ไม่ใช่ใครจะประกาศิต คือใช้อำนาจบังคับให้ใครต้องทำ เหมือนอย่างทักษิณที่โฟนอินมาสั่งกลางวงประชุมพรรคเพื่อไทย
    "ไอ้คนนั้น อย่าให้มันลงสมัคร ส.ส. ไอ้คนนี้เสือกไปสอบตกที่ปทุมธานี ทำขายขี้หน้า ไล่มันออกไปจากพรรค" ซึ่งทักษิณทำกับ ส.ส.ในพรรคเขาได้ เพราะที่นั่นเขายึดถือระบบ "นายทาส" กับ "ทาสไพร่"
    แต่สำหรับพรรคอื่น และสังคมอื่นๆ ทั่วไป ไม่มีใครบังคับขับไสให้ใครต้องเคารพใคร หรือต้องไปรดน้ำดำหัวใครโดย "ใจ" ของคนนั้นไม่เคารพ!
    เคยดูมวยไทยมั้ย เตะ ต่อย กระทืบกัน เหมือนมีเรื่องอาฆาตโกรธแค้นชนิดอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แต่พอครบ ๕ ยก หรือปรากฏผลแพ้-ชนะ ถ้าผู้ชนะอาวุโสกว่า ก็จะไปให้กำลังใจผู้แพ้ ซึ่งเป็นรุ่นน้อง แต่ถ้ารุ่นน้องชนะรุ่นพี่ ก่อนลงเวที จะไปกราบขอโทษ-ขออภัยรุ่นพี่ที่ล่วงเกิน
    นักมวยบางคน ถึงก้มลงกราบแทบเท้า เป็นการขอขมาต่อรุ่นอาวุโส!
    นั่นเป็นวัฒนธรรม "จิตใจ" ที่ดีงามของคนไทย รู้แพ้-รู้ชนะ-รู้อภัย ผู้น้อยเคารพผู้อาวุโส ผู้อาวุโสไม่ผูกใจถือสาผู้น้อย สังคมไทยจึงน่ารัก-น่าอยู่เป็นที่อิจฉาของคนชาติอื่น เพราะไม่มีที่ไหน นอกจากที่ประเทศไทยที่เดียว
    แต่วันนี้ นับจากทักษิณเหิมเกริมจะเปลี่ยนแผ่นดิน ยุแยง-แบ่งแยกชาวบ้านให้แตกเป็นฝัก-เป็นฝ่าย "วัฒนธรรมจิตใจ" คนไทยก็เลยหายไป มี "วัฒนธรรมพยาบาท" ฆ่าแล้วเผา ถ้าไม่ใช่พวกเราอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้ เข้ามาแทน!
    ลิเก ละเม็งละครก็เหมือนกัน จบการแสดงแล้ว ที่ผิดบ้างพลั้งไป ผู้น้อย-ผู้ใหญ่ เขาก็ยกมือไหว้ขออภัย ขอขมากัน ก็มีแต่ "การเมือง" เรื่องเปลี่ยนแผ่นดิน-ล้มสถาบันนี่แหละ หลายๆ คนไม่รู้จักวัฒนธรรมจิตใจ ไม่รู้จักผู้น้อย-ผู้ใหญ่     แม้กระทั่งกาลอันควร อันเป็นโอกาสให้กราบขอขมาในความผิดพลาด สู่บรรยากาศปรองดองแท้จริง กลับไม่ทำ แต่กลับมุ่งมั่นทำ
     -บนดิน ใช้รัฐสภาเดินเกม หวังครองอำนาจบริหารชนิด "ฝังราก-ฝังเขี้ยว" ตลอดกาล
    -ใต้ดิน ตอนอำนาจรัฐ แยกประชาชน ตั้งเขตปกครอง ปลุกปั่นให้เกลียดระบอบ-ล้มสถาบัน
    ก็อยากจะบอกเหมือนกันว่า "ปล่อยให้ไปตามเวร-ตามกรรม" แต่ก็สงสาร เพราะเวร-กรรมที่เขาต้องเป็นไปในข้างหน้าอีกไม่กี่เดือนนั้น มันน่ากลัว น่าขนพองสยองเกล้าจริงๆ     ก็พี่น้องไทยด้วยกัน ไม่ได้ "เลวโดยสายเลือด" เพียงแต่หลงใหลไปตามอามิสสินจ้าง และลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ชั่วครั้ง-ชั่วครู่ และบางคนก็แห่ตามกันไป ครั้นจะกลับตัว-กลับใจ พวกหมู่ก็ไม่ยอม ผมจึงอยากให้สติ ประเภทสัมมาสติ ถ้าต้องการให้บ้านเมืองอยู่กันแบบปรองดอง
    ต้องเริ่มทำให้เห็นจากใจ-จากจิตสำนึก และต้องละเลิกสิ่งคิด-สิ่งทำอันเป็นอนันตริยกรรมกับบ้านเมือง จากนั้นให้กาลเวลาหมักบ่มสิ่งแตกแยกแต่ละชิ้น-แต่ละอันไปเรื่อยๆ แล้วมันจะรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันเอง!
    ไอ้ปรองดองอย่างที่ทำ ถือดีในอำนาจรัฐ ถือดีว่าเสียงข้างมากในรัฐสภา เขียนกฎหมายเอาข้างเดียว แล้วบอกว่าปรองดอง     ใครปรองด้วย ใครดองด้วย?     ก็ไม่มี...!
    มีแต่พวกที่เห็นว่าประโยชน์จะได้กับตัวด้วยเท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่เขาก็ไม่ปรองดองแบบ "ทักษิณมีอภิสิทธิ์เหนือประเทศไทย" แต่ฝ่ายเดียวอย่างที่ทำกันอยู่ขณะนี้
    ทำดีกับสังคมชาติบ้านเมือง รู้จักผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ไม่เหิมเกริมถือดีในอำนาจ ไม่เนรคุณชาติ-สถาบันและแผ่นดินเกิด โดยเฉพาะ อย่ายุแยง แบ่งแยกพี่น้องประชาชนให้เกลียดชังกันเอง แล้วความสามัคคีปรองดองมันจะเกิดขึ้นเอง เพราะธาตุประเสริฐของคนไทยมีอยู่พร้อม     คือการให้อภัย-ไม่ถือโกรธ!
    การที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปกราบขอพรพลเอกเปรม นั่นคือ "ชิ้นส่วน" ให้กาลเวลาทำหน้าที่ย่อยรวมสู่ความปรองดองอย่างหนึ่งในอนาคต ยิ่งลักษณ์ทำคนเดียว ชิ้นส่วนหมักรวมสู่เนื้อปรองดองก็น้อย     ถ้าไปกันมากๆ ยกทั้ง ครม.และ ส.ส.ทั้งพรรคเพื่อไทยไปด้วยแล้ว ชิ้นส่วนหมักรวมสู่เนื้อปรองดองมันก็ยิ่งมาก มันก็จะยิ่งทำให้รวมเนื้อสู่ปรองดองได้เร็วขึ้น!
    หลายๆ คนในเพื่อไทยชอบพูด "เมื่อไหร่จะก้าวข้ามทักษิณพ้นเสียที"
    ก็อยากบอกว่า พวกคุณ-พวกท่านเพื่อไทยนั่นแหละ....
    เมื่อไหร่สลัดบ่วงทาส แล้วก้าวข้ามทักษิณสู่ "โลกแห่งความเป็นจริง" ซะที?

บทวิเคราะห์การเมืองไทย:ผู้จัดการ

คำถามจาก แก้วสรร อติโพธิหรือคนไทยจะยอมให้ ทักษิณข่มขืนประเทศซ้ำซาก?
แก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการ คตส.
       - หากความพยายามฟอกผิดและล้มล้างคดี คตส.เอาคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดอย่างไร้มลทินเป็นผลสำเร็จ อาจสะท้อนว่าคนในชาติกำลังนอนหลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว และยินยอมให้ ทักษิณข่มขืนประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่คิดจะตื่นขึ้นมาขัดขวาง เช่นที่ แก้วสรร อติโพธิอดีตคณะกรรมการ คตส. ตั้งคำถามและเปรียบเทียบสถานการณ์ของสังคมไทยในโมงยามนี้อย่างน่าสนใจ       
       เมื่อการเมืองอยู่เหนือกฎหมาย
       

       ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องของการเมืองอยู่เหนือกฎหมาย ทั้งที่มันควรจะเดินไปพร้อมกันทั้งสองอย่าง นั่นคือ การเมืองต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ต้องใช้อำนาจที่ได้มาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ถ้าอาศัยเสียงข้างมากแล้วคุณจะไปออกกฎหมายว่าให้ไปจอดรถในที่ห้ามจอด ทำแบบนั้น ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะมันไปก้ำเกินสิทธิพื้นฐานของชาวบ้าน       
       ขณะเดียวกัน แม้คุณจะได้เสียงข้างมากแต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าคุณเป็นแค่ผู้แทนราษฎร คุณต้องนำอำนาจไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ถ้านำอำนาจไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน คุณก็ต้องติดคุก แม้จะกวาดเสียงในสภาหมดก็ตาม ถ้าคุณทรยศประชาชนคุณก็ติดคุกได้ ดังนั้น การออกนโยบายเพื่อบ้านเมืองก็ต้องมีส่วนสำคัญ เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค หรือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ อะไรที่ไม่ใช่เรื่องการเมืองก็ว่ากันไปตามกระบวนการ แต่ส่วนที่เสียงข้างมากจะเข้ามายุ่งไม่ได้คือเรื่องกฎหมาย ซึ่งคราวนี้ถ้าเขาทำได้สำเร็จนี่มันก็หมายความว่าเราจะอยู่กันอย่างไม่มีกฎหมาย กลายเป็นว่าเมื่อมีเสียงข้างมากแล้วก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง อีกหน่อยมันก็กลายเป็นการปกครองแบบเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยก็ตาย ก็ตกรถไฟไป       
       พรรคเพื่อไทยเขาเป็นเสียงข้างมาก จะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น พวกเขาเผาเมืองมาเขาก็เขียนให้มันไม่มีโทษได้ เจ้านายเขาคอร์รัปชัน เขาก็บอกว่าพิจารณาคดีไม่ได้ เอาใหม่ อันนี้ในหลักกฎหมายเขาไม่มีหรอกครับ
        
       เขาจะดูกันที่กระบวนการ ว่าคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมหรือเปล่า คตส.จับคุณทักษิณไปกดน้ำเพื่อสารภาพหรือเปล่า ไปดักฟังคุณทักษิณหรือเปล่า ถ้า คตส.ไม่ได้กระทำการอย่างที่ว่ามานี้ การไต่สวนก็เป็นไปโดยถูกต้อง มันก็มาจากกฎหมายที่ใช้กับคนทั่วไป ไม่ใช่ว่าจะใช้กับคุณทักษิณโดยเฉพาะเพียงผู้เดียว มันเป็นกฏหมายที่มาจากป.ป.ช.ที่มีอยู่แล้ว แล้วก็มาขึ้นศาลธรรมดา ความผิดที่มีก็เป็นความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ตามปกติ คือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร ซุกหุ้น แล้วก็นำอำนาจรัฐบาลมาใช้เอื้อประโยชน์บริษัทตนเอง แบบนี้ก็ต้องโดนยึดทรัพย์ มันไม่มีขั้นตอนใดในกระบวนการตรวจสอบของ คตส.ที่มีอะไรเสียหาย ส่วนเรื่องที่ว่า คตส.มาจากคณะรัฐประหารนั้น อันที่จริงเขาเพียงตั้งคณะกรรมการเฉพาะขึ้นมาเร่งคดี ไม่ใช่เรื่องศาลเตี้ยอย่างที่เข้าใจผิดกัน
       
       เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องของคนทำผิดที่แพ้ ถูกจับได้แล้วก็ไม่ยอมรับผิด ถ้าคุณยอมให้เขาทำได้อย่างที่ต้องการ หรือเชื่อที่เขาอ้างว่านิรโทษกรรมแล้วยังดำเนินคดีได้อีก ก็บอกเลยว่ามันไม่สามารถดำเนินคดีได้หรอก เพราะพยานก็หนีหมดแล้ว ไม่มีใครเขาพูดอยู่แล้วล่ะ พยานหลักฐานหนีหมดแล้ว ไม่มีหรอกครับการดำเนินคดีทางอาญาที่จะสอบสวนซ้ำ
       
       จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับรัฐประหารอะไรหรอก มันก็แค่เรื่องไม่ยอมให้เจ้านายตัวเองโดนยึดทรัพย์แค่นั้นเอง แล้วจึงหาข้ออ้าง อย่างกระบวนการของ คตส.นี่มีตรงไหนที่ไม่ยุติธรรมบอกมาสิ ผมไม่เห็นเขาชี้แจงได้เลย       
       ครั้นถามว่าถ้าการล้มคดี คตส.ทำได้จริงจะสะท้อนถึงอะไรบ้าง แก้วสรรตอบว่า
       
       ถ้าเขารุกไล่ไปถึงการต้มยำชำเรารัฐธรรมนูญ ถ้าชัยชนะเป็นของเขา ถ้าเขาทำได้ ศาลก็ไม่เหลือหรอก กฎหมายไม่เหลือ ศาลก็ไม่เหลือ ทุกอย่างพังหมด       
       คตส.กับงานที่ไม่ถูกสานต่อ
       
       นอกจากนั้น ในฐานะอดีตคณะกรรมการ คตส. แก้วสรรยังมีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทของ คตส. โดยเฉพาะบทบาทอันว่าด้วยการถ่วงดุลอำนาจการเมืองหรือความพยายามในการต้านทานคอร์รัปชัน  
        
       แก้วสรรมองว่า คตส.เปรียบเหมือนผู้ใช้กฎหมายให้นักการเมืองกับเจ้าหน้าที่รัฐเขากลัวเกรง เพื่อให้ผู้มีอำนาจเหล่านั้นใช้อำนาจโดยสุจริต คตส.จึงคล้ายเป็นภาพลวงหรือตัวล่อในการปราบคอร์รัปชัน โดยในความเป็นจริงศาลจะต้องเป็นหัวหอก ซึ่งคนที่จะป้อนคดีไปถึงศาลก็ต้องทำคดีอย่างรวดเร็ว เกาะติด ไม่ใช่ประชุมไปวันๆ ไม่เอาจริงเอาจัง จนเมื่อส่งคดีไปให้ศาลแล้วศาลก็ยกฟ้อง
       
       มันต้องลุยกันจริงๆ แล้วให้ได้เรื่องได้ราว ดังนั้น ผมว่า คตส.เป็นตัวอย่างของความพยายามที่เอาจริงเอาจังกันจริงๆ อย่างคดียึดทรัพย์นี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะครับ กว่าจะลากกันออกมาได้ว่าซุกหุ้นหรือไม่ซุก ต้องตามกันนาน         
       หรืออย่างเงินในโครงการเอื้ออาทรนี่ตามกันไปถึงขั้นว่าให้เงินผู้รับเหมาไปแล้ว 400 ล้านบาท แล้วเงินวิ่งกลับมาที่รัฐมนตรีได้อย่างไร แล้วที่ผู้รับเหมาเขายอมรับว่าส่งเงินให้รัฐมนตรีนั้น ที่เขายอมรับเพราะเราต้องมีหลักฐานไปแสดงจนเขาเถียงไม่ได้ แล้วเราก็ต้องถามเขาว่าระหว่างการโดนข้อหาให้สินบนเจ้าพนักงานกับเป็นพยาน คุณจะเลือกอย่างไร คือ คตส.ต้อง มือถึงขนาดนั้นจึงจะนำพยานไปจับรัฐมนตรีวัฒนา เมืองสุข ได้ แล้วถ้าพิจารณาคดีใหม่ พยานพวกนี้ก็เปิดหนีหมดสิ วัฒนาก็ลอยตัว ทักษิณก็ลอยตัวไปหมด ดังนั้น คตส.จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่จะเอาจริงเอาจังในการปราบคอร์รัปชัน       
       วาทกรรม ‘ปรองดองโฆษณาชวนเชื่อเพื่อคนคนเดียว
       

       ใช่เพียงแสดงความเห็นต่อการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน หรือการรู้ทันนักการเมืองที่มุ่งอำนาจเพื่อรับใช้ประโยชน์ส่วนตน แต่แก้วสรรยังเสนอมุมมองในประเด็นเรื่องการปรองดองที่พรรคเพื่อไทยและบรรดาลิ่วล้อของทักษิณนำมาใช้โหมโรงเพื่อจุดกระแสพานายใหญ่กลับบ้าน โดยแก้วสรรวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาและชวนให้ขบคิดว่า แท้ที่สุดแล้วความปรองดองก็เป็นเพียงวาทกรรมที่บรรดาลิ่วล้อนำมาใช้เพื่อจะฟอกความผิดให้นายของตัว
       
       การปรองดองกันนี่มันเรื่องอะไรล่ะ? มันไม่ใช่เรื่องผิวขาว-ผิวดำซัดกัน ไม่ใช่เรื่องคอมมิวนิสต์ ตอนนี้ชีวิตประจำวันในสังคมก็ปกติ มันไม่ปรองดองตรงไหน? มันเป็นแค่เรื่องที่คุณจะเอาเจ้านายคุณกลับมาให้ได้ คุณจะกลับมาเป็นรัฐบาลให้ได้ คุณก็เลยไล่จะแก้รัฐธรรมนูญ ทำทุกอย่าง จะแก้รัฐธรรมนูญใหม่ จะเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือเจ้านายของคุณ ถ้าเราปล่อยให้เขาทำได้ มันก็เหมือนเขามาฉุดลูกสาวของคุณแล้วแห่ขันหมากมาสู่ขอ ขอแต่งงานด้วย มันเรื่องอะไรกัน       
       ผมเห็นว่าเรื่องปรองดองเป็นเรื่องที่เขาข่มขืนเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมยังมองไม่เห็นเลยเรื่องความขัดแย้งที่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นความขัดแย้งที่เป็นความคิดความอ่านอยู่ตรงไหน ถ้าจะพูดเรื่องปรองดองนั้น จริงๆ แล้วถ้าเป็นเรื่องของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นี่ใช่ เขาต้องการเป็นอิสระ เป็นตัวตนเขา แล้วเราไม่ยอม กลายเป็นความขัดแย้ง แต่ที่พรรคเพื่อไทยบอกจะปรองดองนี่แล้วบ้านเมืองมันมีความขัดแย้งที่แท้จริงหรือเปล่า มันเป็นแค่เรื่องที่ทักษิณจะเถลิงอำนาจให้ได้ เสื้อเหลืองก็มาค้าน ทหารก็ปฏิวัติ แล้วเขาก็ดิ้นกลับมาอีกโดยใช้กำลังทำกับบ้านกับเมืองเสียหายยับเยิน แล้วจะนำอำนาจที่มีไว้เพื่อส่วนรวมมาช่วยเหลือในเรื่องส่วนตัวอีก มันปรองดองอะไรที่ไหน มันเป็นเรื่องที่เขาจะมาข่มขืนประเทศซ้ำแล้วซ้ำอีก       
       มันเหมือนกับเขาพรากลูกสาวคุณไป แล้วแห่ขันหมากมาสู่ขอ คุณจะยกลูกสาวให้เขาไปหรือจะให้ปืน มันเห็นชัดจะตายไปคุณจะยอมโจรหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องความขัดแย้งทางแนวความคิดนั่นก็เรื่องหนึ่ง เช่นพวกพี่น้องมุสลิม หรือพี่น้องที่เขาไปเป็นคอมมิวนิสต์ เราเข้าใจเขาไหม ถ้าวันหนึ่งต่างฝ่ายจะมาบอกว่าเออ! เราเกินไป กูเกินไป มึงก็เกินไป เรามาเลิกแล้วต่อกันซะ กลับมาอยู่กันเหมือนเดิมมันต้องมีความขัดแย้งเป็นตัวเป็นตน เป็นแนวความคิดที่ชัดเจนแบบนี้ จึงจะเป็นความขัดแย้งที่ต้องหาทางปรองดอง ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเป็นโจรจะมาปล้นบ้าน แล้วบอกว่าเป็นเรื่องของแนวความคิดที่แตกต่าง แล้วจะขอกลับมาปรองดอง มันไม่ใช่       
       ท้ายที่สุด อดีต คตส.อย่างแก้วสรร ไม่ลืมฝากแง่คิดถึงคนในสังคมไทยว่า 
       
       ถ้าคราวนี้เรายอมให้เขาทำกับประเทศได้ ก็ไม่ต้องพูดกันแล้วล่ะ คนในสังคมมันไม่ได้ตื่นแล้ว มันหลับสนิท หรืออาจจะตื่นขึ้นมาแบบงัวเงียแล้วก็นอนต่อ แล้วก็บอกมาปรองดองกันเถอะ ดูอย่างขุดลอกคูคลองแม่น้ำ งบเป็นหมื่นล้าน เขาเอาไป 30 เปอร์เซ็นต์ แล้วพวกคุณทำอะไรกันอยู่ นอนต่อไปเถอะ 
        
       ถามสังคมไทยแค่นี้แหละ ถ้าเขาฉุดลูกสาวคุณไปแล้วยกขันหมากมาขอ คุณจะยอมไหม คุณเป็นเจ้าของประเทศหรือเปล่า คุณจะยอมให้เขาเอาประเทศไปไหม ถ้ายอมก็นอนหลับต่อไปเถอะ ประเทศเรายังมีเจ้าของประเทศอยู่หรือเปล่า หรือมีแต่คนนอนหลับ คุยกันแบบกระแอมกระไอ ซุบซิบ หวาดกลัวเขาไปหมด แล้วสุดท้ายประเทศไทยก็กลายเป็นฟิลิปปินส์ เป็นไนจีเรียไป