วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

ดูเหมือนแพ้...แต่ว่ากำนันชนะ!

อืมมมม...จะช้า-จะเร็ว กองกำลังทราบฝ่าย-ทราบสีในคราบ "กองโจร-ลอบกัด" มันต้องโผล่....... แล้วมันก็โผล่จริงๆ! เป็นการโผล่ด้วยท่วงทำนอง "ชายชุดดำ" สไนเปอร์ "พลเอกร่มเกล้า" และทหารอีกหลายนายที่สี่แยกคอกวัว ตอนหัวค่ำของวันที่ ๑๐ เม.ย.๕๓ ผิดกันเพียง วัน-เวลา-สถานที่เท่านั้น เพราะครั้งนี้ เป็นเวลาบ่ายโมง ของวันที่ ๑๗ ม.ค.๕๗ ที่ถนนบรรทัดทอง แยกเจริญผล บริเวณอาคารร้างหลังสนามศุภชลาศัย เป้าหมายของมัน...... เปลี่ยนจากสไนเปอร์ทหาร เป็นโยนระเบิดสังหารมวลมหาประชาชน ...........และกำนันสุเทพ! มวลมหาประชาชนกว่า ๓๐ คน เป็นเหยื่อระเบิดแทนกำนัน ทั้งเจ็บ ทั้งปางตายจมเลือด ไม่ต่างสมรภูมิสนามไทย-ญี่ปุ่นที่เราสูญเสีย "วสุ สุฉันทบุตร" วันนั้น ท่านคงทราบรายละเอียดเหตุการณ์กันแล้ว ดังนั้น ไม่ต้องถาม เป็นการลอบกัดจากใคร...พวกไหน? มันโหด เหี้ย อำมหิต เจตนาโยนระเบิดฆ่ามหาประชาชนไม่เลือกหน้า ผิดวิสัยมนุษย์ไทยจะทำไทยด้วยกันแบบนี้-ขนาดนี้ โกรธได้ แค้นได้ พี่น้องมวลมหาประชาชนเอ๋ย...! แต่จงอย่าอาฆาต อย่าให้จิตพยาบาททำลายแนวทาง ตบะ-สันติ-อหิงสา อันเราทั้งหลาย "มวลมหาประชาชน" อดทน-อดกลั้น ฝ่าฟันมาดีแล้ว "ล้างโจรระบอบทักษิณ" คืนสังคมธรรมให้ประเทศ เป็นการทำหน้าที่สร้างคุณยิ่งใหญ่ กอบกู้บ้านเมืองตามรัฐธรรมนูญบัญญัติ เราใกล้มาถึงจุดชัยร่วมกันแล้ว โลกทั้งโลก...กำลังจ้องมองวิถีมวลมหาประชาชน "สร้างทฤษฎีประชาธิปไตยใหม่" ให้โลก ด้วยสองมือเปล่าอยู่ ฉะนั้น เราอย่าปล่อยให้มัน...คือมาร พบความสำเร็จ ด้วยการยอมให้มันทำลาย ตบะ-สันติ-อหิงสา พวกเรา "มวลมหาประชาชน" แตก ถ้าเราทั้งหลาย ทั้งมวลมหาประชาชน ทั้งกำนันสุเทพ ทั้งคณะกรรมการ กปปส. "สติหลุด" แพ้ต่อการทำลายตบะ-สันติ-อหิงสา งานใหญ่...คืองานกอบกู้สังคมชาติให้แผ่นดิน ล้างระบอบทักษิณ ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกไป จัดระเบียบสังคมประชาธิปไตย นำประเทศสู่ศตวรรษใหม่ ด้วยชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเศรษฐกิจพอเพียง ที่เราเพียรสร้าง ร่วมกันถากถางทางมาดีแล้ว ก็จะล่มสลาย.... นับจากนี้ไป ประเทศไทยในความหมาย ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะไม่เหลือแล้ว! เพราะเมื่อถลำลงไปเล่นบท "เลือดล้างเลือด" อาวุธต่ออาวุธ โหดต่อโหด เหี้ยต่อเหี้ย อำมหิตต่ออำมหิต และด้วยอาวุธต่ออาวุธ ฆ่าต่อฆ่านั้น ท่านทั้งหลายลองตอบซิ ฝ่ายฆ่า...ภายใต้ผู้มีอำนาจกฎหมายในมืออุปถัมภ์ กับฝ่ายเรา...ภายใต้มวลมหาประชาชนมือเปล่า-ตีนเปล่าอุปถัมภ์กันเอง ใครได้เปรียบใคร? การรบในสถานการณ์ที่รู้ว่าไม่ชนะในสัประยุทธ์นี้ เราไม่ถอย แต่ต้องเลี่ยงปะทะกฎหมายอุปถัมภ์ ต้องจำให้แน่น งานใหญ่เพื่อสังคมชาติ ไม่จำเป็นต้องโต้ ทุกเม็ด ทุกดอก สันติ-อหิงสา นั้น เปรียบเหมือนยาหม้อ-ยาต้ม ยาหม้อ ไม่ใช่ยาระงับอาการ แต่เป็นยารักษาถึงสมุฏฐานโรค ดังนั้น ต้องต้ม ต้องเคี่ยว ต้องกินหลายหม้อ เรียกว่า ต้องอดทน อดกลั้น ใช้เวลานานหน่อย แต่ว่าหายขาด ชนิด "ตัดราก-ถอนโคนโรค"! การใช้กำลังต่อกำลัง อาวุธต่ออาวุธ เถื่อนต่อเถื่อน มันเหมือนยาฉีด ฉีดปุ๊บ-หายปั๊บ แต่หายพักเดียวอาการเก่าจะกลับ เพราะยาฉีดเป็นยาระงับอาการโรค ไม่ใช่ยารักษาสมุฏฐาน ตัดราก-ถอนโคนโรค! ที่กองกำลังทราบฝ่าย เหิมเกริมถึงขั้นลงมือกลางวัน-กลางเมือง โดยรัฐบาล โดย ศอ.รส.คล้ายสะใจมากกว่าเสียใจในเหตุที่เกิดนั้น มวลมหาประชาชนจงเข้าใจเถิด การลอบฆ่า การปาระเบิด ทั้งกลางวัน-กลางคืนต่อเนื่องนั้น ไม่ใช่สัญญาณระบอบทักษิณได้เปรียบ ตรงกันข้าม....นั่นคือสัญญาณยิ่งลักษณ์แพ้แน่ การลอบกัดนี้ เป็นยุทธวิธี "สู้พลาง-ถอยพลาง" ของกองทัพที่พ่าย เรียกกันว่าถอยฉะ! เหมือนมวยสิ้นสภาพยกสุดท้าย จะใช้ทุกรูปแบบเพื่อพยุงตัวรอด ทั้งหวังฟลุก ชนะแตก-ชนะน็อก-ชนะฟาวล์ เมื่อไม่เห็นทางรอดแน่ๆ ต้องระวังลูกไมค์ ไทสัน เข้ากอดแล้ว "กัดหู"? ทุกคำตอบของกองกำลังเถื่อน ที่ทำกับเวทีแจ้งวัฒนะ เวทีลาดพร้าว เวที คปท.และกับกำนันขณะนำมวลมหาประชาชนเดินบ่ายวานนี้ ที่แยกเจริญผล คำถามที่ว่า เป็นพวกไหน ใคร มาจากไหน คำตอบก็อยู่ที่ปฏิบัติการ โดยรัฐบาล โดยตำรวจ ไม่แสดงความรับผิดชอบ ทั้งป้องกัน ทั้งปราบปราม เอะอะ..บอก "มือที่สาม" ทุกอย่างก็จบ ถนนบรรทัดทอง เป็นใจกลางกรุงเทพมหานคร..... แล้วใครล่ะ...สามารถขนอาวุธร้ายน้องๆ "คลังแสง" เข้าไปซุ่มดักสังหารกำนันสุเทพและมวลมหาประชาชนในอาคารร้างนั้นได้กลางวันแสกๆ โดยไม่มีใครรู้เห็น....! ในขณะรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ตั้ง ศอ.รส.เกณฑ์ตำรวจทั่วประเทศนับแสนนายเข้าคุมความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน อาวุธเป็นคลังแสง ที่ถนนบรรทัดทองเมื่อวาน (๑๗ ม.ค.) กับอาวุธเป็นคลังแสงที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ๒๖ ธันวา เป็นของใคร เล็ดลอดสายตาตำรวจ และ ศอ.สร.เข้ามาได้อย่างไร ไม่มีคำตอบจากรัฐบาล? มีแต่....ความจริงประจักษ์ว่า อาวุธนั้นใช้ฆ่ามวลมหาประชาชน โดยไม่เกี่ยงวิธีการ รูปแบบ และเป้าหมาย หวังประสงค์ผลอย่างเดียว คือให้พี่น้องมวลมหาประชาชนที่ขวางระบอบทักษิณ ล้มสถาบัน-โกงบ้าน-กินเมือง เจ็บ ตาย พ่ายเตลิด สถานเดียว! ตรงอาคารร้างที่กองโจรทราบฝ่ายขนนานาอาวุธขึ้นไปนั่งห้างคอยสังหารมหาประชาชนนั้น ร้างแต่คำว่า "อาคารร้าง"! แต่ข้างหน้า ตลอด ๒๔ ชั่วโมง จะมีแท็กซี่สีชมพูเวียนจอดนับเป็นสิบ-เป็นร้อยคันทั้งวัน ถ้าจริงใจต่อการสืบหาขบวนการสไนเปอร์ครั้งนี้ คนขับแท็กซี่สีชมพูและเจ้าของอู่ ต้องเรียกว่า "พยานปากเอก"! อาคารที่ใช้ซุ่มนั้น ข้างหน้าล้อมรั้วสังกะสี ด้านหลังเปิดโล่งเข้าสนามศุภฯ ได้ ขณะการ์ดรื้อรั้วเพื่อเข้าไปค้นหาตัวมือระเบิดในอาคาร ด้วยความเป็นกลางวัน และด้วยหูตาประชาชนเป็นหมื่น-เป็นแสน ถ้าสอบสวน-สืบสวนเพื่อหวังจับจริง เป็นไปไม่ได้ที่คนร้ายกระทำการลักษณะ สวมเสื้อแดง สั่นกระดิ่ง แล้วฆ่าคนกลางวัน จะเกาไข่ ลอยนวล อวดยิ่งลักษณ์ อวดตำรวจ อวด ศอ.รส.หายตัวไปได้! ทั้งหมดนี้ เป็นอาการ "มวยสิ้นสภาพ" รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นับวันเหลือแค่ตำรวจ ๔-๕ นายรายล้อม แซมทหารปลัด กห.ส่วนข้าราชการแต่ละกระทรวง เริ่มร่วมมวลมหาประชาชน ผู้มีอำนาจบริหารตอนนี้คือ กกต.ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์ ที่ทั้งคุก ทั้งนรก ทั้งชาวนาที่ถูกโกงค่าข้าว กำลังไล่ล่า! การใช้กฎหมายรับใช้ยิ่งลักษณ์ แต่ไล่บี้มวลมหาประชาชนของตำรวจเวลานี้ มันเป็นภาพที่ทหาร คือกองทัพ "ทนไม่ได้" ที่มหาประชาชนถูกกระทำ-ถูกรังแก ผมจึงขอยืนยันเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ไม่มีปฏิวัติ-รัฐประหาร "ล้านเปอร์เซ็นต์" มีแต่มหาประชาชนปฏิวัติ "สำเร็จ" ตามกรอบประชาธิปไตย โดยทหารไม่ยุ่ง แต่จะไม่ปล่อยให้รัฐบาลเถื่อน-กองกำลังทราบฝ่าย ขัดขวางทำร้ายมวลมหาประชาชน สูตร "สันติ-อหิงสา" ที่กำนันสุเทพใช้นำมวลมหาประชาชน กับสูตร "มะม่วงหล่น" ของธีรยุทธ บุญมี เพียงต่างชื่อ ต่างมรรคา แต่ว่า "ล้างโคตรทักษิณ" สูตรเดียวกัน!

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

แฉล็อบบี้‘ปปช.’ ปล่อยยิ่งลักษณ์ รอดคดีมอดข้าว

ลุ้น ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาโกงจำนำข้าว 16 ม.ค. "หมอวรงค์" แฉ "ปู" วิ่งฝุ่นตลบล็อบบี้ ป.ป.ช.ขอหลุดคดี ด้าน "ทนุศักดิ์" สะอื้น รับเตรียมขุดหลุมฝังตัวเอง หลัง ธ.ก.ส.จ่ายเงินให้ชาวนาในโครงการจำนำข้าวนาปีฤดูการผลิต 2556/57 ได้ไม่ทัน 15 ม.ค.ตามที่รับปากไว้ เมื่อวันพุธ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการและรองโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าในการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวว่า ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ เวลา 10.00 น. คณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวจะพิจารณาว่า จะแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลใดหรือไม่ อย่างไร ตามที่คณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวกรณีกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ และพวก กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว นายประสาทกล่าวว่า ต่อมามีการขยายผลไปถึงนายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ เจ้าหน้าที่จากฝ่ายไทยและจีน รวมถึงบริษัทเอกชน ดังนั้น การประชุมวันที่ 16 ม.ค.นั้น เป็นการพิจารณาว่าจะแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกร้องดังกล่าวหรือไม่ หรือจะพิจารณาขยายผลไปยังบุคคลอื่นหรือไม่ อย่างไร ซึ่งหากขยายผล อนุกรรมการไต่สวนฯ ก็ต้องนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้แจงว่ามีมูลเพียงพออย่างไร สมควรหรือไม่ อย่างไร "ดังนั้นหากที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นชอบแล้วมีมติให้ขยายผล ก็ต้องมีการแจ้งให้ตัวผู้ถูกร้องดังกล่าวทราบตามขั้นตอนต่อไป เพื่อให้เขาทราบว่าถูกกล่าวหา โดยขั้นตอนคือ แจ้งคำสั่ง แจ้งข้อกล่าวหา ให้โอกาสชี้แจง แล้วจึงชี้มูล ซึ่ง 4 ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนการทำงานตามกฎหมายของ ป.ป.ช." นายประสาท กล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับกรณีที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ได้ยื่นถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม หลังจากที่ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องข้าวถุงนั้น จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาด้วยหรือไม่ นายประสาทกล่าวว่า เป็นคนละขั้นตอน เพราะกรณีไต่สวนที่มีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ แล้วนี้ เป็นคนละเรื่องกับที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์โดนร้อง เมื่อถามว่า มีการวิจารณ์ว่าหากผู้ใดถูกแจ้งข้อกล่าวหาแล้วต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที นายประสาท กล่าวว่า ตามขั้นตอนของการที่ผู้ถูกร้องจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวนั้น จะต้องเป็นผลจากการชี้มูลของป.ป.ช.เท่านั้น ไม่ใช่ขั้นตอนของการแจ้งข้อกล่าวหาหรือรับทราบเท่านั้น ก่อนที่เรื่องจะถูกส่งไปยังวุฒิสภาเพื่อถอดถอน หรือส่งหรือต้องส่งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาคดีความอาญา แล้วขั้นตอนนั้นหากวุฒิสภาหรืออัยการมีมติออกมาผู้นั้น จึงจะถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ถาวรทันทีพร้อมถูกตัดสิทธิ์ 5 ปี ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทราบข่าววงในว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ คอหลุดเรียบร้อย มีภาคเอกชนและราชการที่ต้องร่วมรับผิดด้วย แต่มีการต่อรองเรื่องความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กขช. จึงขอให้ ป.ป.ช.มีความกล้าหาญ เนื่องจากโครงการนี้เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล แม้จะมีการมอบให้ผู้อื่นรับผิดชอบเป็นประธาน กขช. แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ผู้สื่อข่าวรายว่า นพ.วรงค์ได้นำคลิปสัมภาษณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์กับนายบุญทรง ที่มีเนื้อหาชัดเจนว่าบุคคลทั้งคู่รับทราบเกี่ยวกับสัญญาจีทูจีมาแสดงต่อสื่อมวลชนด้วย โดยชี้ว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่จะมัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว "ดังนั้นเมื่อ ป.ป.ช.พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่จีทูจี จึงขอให้ ป.ป.ช.ดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างมหาศาล และยังมีการทุจริตในอีกหลายขั้นตอน จึงขอให้ ป.ป.ช.กล้าตัดสินใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ" นพ.วรงค์กล่าว ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอให้ทำด้วยความรวดเร็ว และกล้าหาญ เพราะเรื่องนี้เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย จึงอย่าไปบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการทุจริตในระดับปฏิบัติ ซึ่งที่ผ่านมา ป.ป.ช.เคยทำหนังสือเตือน ครม.แล้วว่าถ้าทำโครงการนี้จะเกิดปัญหาการทุจริต แต่ ครม.ก็ตัดสินใจเดินหน้า ซึ่ง ป.ป.ช.ต้องคิดว่า ครม.ต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ ถ้ามองว่าเป็นการทุจริตเชิงปฏิบัติ ขณะที่ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รักษาการ รมช.การคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ยอมรับว่าไม่สามารถจ่ายเงินให้กับเกษตรกรในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีฤดูการผลิต 2556/57 ได้ทั้งหมดภายในวันที่ 15 ม.ค.2557 ตามที่เคยได้รับปากไว้ เนื่องจากยังติดขัดเรื่องขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ แต่ขณะนี้ ธ.ก.ส. อยู่ระหว่างเร่งทยอยจ่ายเงินให้เกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์ทุกรายอย่างเต็มที่ นายทนุศักดิ์กล่าวว่า ในส่วนที่มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) รองรับเรื่องการดึงเงินสภาพคล่องของธนาคาร และกรอบการรับจำนำข้าว 5 แสนล้านบาท ที่ต้องใช้เกินกรอบระหว่างปีนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่การบีบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการในเรื่องนี้ โดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าอะไรที่เคยปฏิบัติมาก่อนยุบสภาแล้วนั้น ให้สามารถดำเนินการต่อได้ น่าจะตอบข้อกังวลของธนาคารได้เป็นอย่างดี “ผมพยายามทำทุกวิธีทางที่จะให้ ธ.ก.ส.สบายใจ เพราะอยากให้มีการจ่ายเงินให้ชาวนาให้เร็วที่สุด อย่างที่ผมเคยรับปากไว้ว่าจ่ายให้หมดภายใน 15 ม.ค.2557 แต่ในเมื่อ ธ.ก.ส.ไม่ดำเนินการ ผมเองก็จนใจ ตอนนี้เตรียมขุดหลุมฝังตัวเองไว้เลย เพราะทำไม่ได้อย่างที่รับปากไว้กับชาวนา” นายทนุศักดิ์กล่าว รายงานข่าวจาก ธ.ก.ส.ระบุว่า ที่ ธ.ก.ส.ถอนหารือกับ กกต.เกี่ยวกับเงินการจ่ายจำนำข้าวกลับนั้น เนื่องจากกระทรวงการคลังกำลังหารือกับ กกต.ประเด็นเดียวกับที่ ธ.ก.ส.หารือไป ดังนั้น ธ.ก.ส.จึงอยากให้เป็นการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและ กกต.มากกว่า โดยขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังประสานเพื่อนัดวันหารือกับ กกต.อย่างเป็นทางการ ว่าจะสามารถกู้เงิน 1.3 แสนล้านบาทมาจ่ายจำนำข้าวได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี ในการจ่ายเงิน ธ.ก.ส. ต้องระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ผิดกฎหมาย และต้องเป็นไปตามมติ ครม. ยืนยันว่ารัฐบาลต้องขยายกรอบ 5 แสนล้านบาท และมีมติเกี่ยวกับการใช้สภาพคล่องของธนาคารให้ชัดเจนจึงจะจ่ายเงินให้ชาวนาต่อได้ โดยล่าสุด ธ.ก.ส.เหลือเงินที่จะจ่ายให้ชาวได้อีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท จ่ายได้ถึง 22 ม.ค.นี้เท่านั้น “ที่ผ่านมา ธ.ก.ส.จ่ายเงินจำนำข้าวไปแล้วกว่า 4 หมื่นล้านบาท ถ้ารวมเงินที่ยังเหลืออยู่เป็น 5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่มีข้าวขึ้นใบประทวนไว้แล้ว 1.5 แสนล้านบาท เท่ากับว่ายังมีชาวนายังไม่ได้รับเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ตรงนี้ยังไม่รวมข้าวที่จะเข้าโครงการเพิ่มเติมจนถึง 28 ก.พ.2557 คาดว่าจะมีเพิ่มมาอีก 4 หมื่นล้านบาท รวมเงินที่ต้องจ่ายจำนำรอบนี้ 1.9 แสนล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส.จ่ายได้เพียง 5 หมื่นล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลต้องหาเงินมาให้ ธ.ก.ส.จ่ายอีก 1.4 แสนล้านบาท” รายงานข่าวระบุ.

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

‘ปู’พ่ายสันติภิวัฒน์ ธีรยุทธชี้ระบอบทักษิณทรุดแนะ‘กปปส.’มุง่ มั่น-ยืนหยัด

“ธีรยุทธ” ถลกแม้วไม่ใช่นักประชาธิปไตย แต่เป็นอนาธิปไตยที่ใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือคอร์รัปชัน เปรียบเหมือนแร้งดำหิมาลัยที่มองไกลหาผลประโยชน์ กินทั้งเนื้อดิบ เนื้อเน่า เนื้อปรุง ชี้ “ยิ่งลักษณ์” โอกาสชนะน้อยมาก เพราะระบอบทักษิณเสื่อม กลับกลอกคำพูด และลิ่วล้อสุมหัวโกงกินจากโครงการต่างๆ ชูปฏิวัติแบบใหม่ “สันติภิวัฒน์” มวลมหาประชาชนต้องมุ่งมั่นแบบเหนือมนุษย์ยืนหยัดต่อสู้ต่อไป แนะแกนนำ กปปส.ต้องไม่มีตำแหน่งในสภาปฏิรูป ให้เป็นหมาเฝ้าบ้านที่ทรงพลังก็พอ พร้อมประกาศตัวขอเป็นส่วนหนึ่งกับมวลมหาประชาชน เมื่อวันพุธ ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนักวิชาการอิสระ และนักวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ได้แถลงเรื่อง “สุดท้ายของระบอบทักษิณ สร้างรากฐานใหม่ให้ประเทศไทย?” นายธีรยุทธกล่าวว่า สาเหตุที่มีผู้ออกมาชุมนุมเป็นจำนวนมากในครั้งนี้ เพราะมีกระแสปฏิรูปออกมาอย่างต่อเนื่อง จากการที่คนถูกกดเป็นเวลานาน จากปัญหาคอร์รัปชันและการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่นักประชาธิปไตย แต่เป็นอนาธิปไตย ที่ใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือ การคอร์รัปชันแพร่ไปในทุกวงการ รื้อเส้นแบ่งอธิปไตยของชาติ ทำลายผลประโยชน์ชาติเพื่อประโยชน์ตัวเอง เช่น แก้กฎหมายเกี่ยวกับดาวเทียมรัฐเพื่อให้ขายบริษัทได้ ตกลงให้เงินกู้พม่าเพื่อประโยชน์ตัวเอง ทำลายห่วงโซ่ระบบยุติธรรมในส่วนของตำรวจ อัยการ “ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่กังวลหากจะเกิดความรุนแรงในประเทศไทย ไม่กังวลว่าประเทศจะมีวิกฤติ มีสภาพโกลาหล หรือจะมีการปะทะระหว่างคนไทยด้วยกันหรือไม่ ครั้งที่แล้วผมบอกว่าระบอบทักษิณไม่ต่างฝูงแร้งมาสมจร แต่ตัวทักษิณเองต้องเรียกว่าเป็นพญาแร้งดำหิมาลัย มีสายตาที่มองไกลหาผลประโยชน์ โกงกิน กินได้ทั้งเนื้อดิบ เนื้อเน่า เนื้อปรุง ต่อให้ประเทศเศรษฐกิจดีก็กินได้ ประเทศพังทลายก็กินได้” นายธีรยุทธระบุ นายธีรยุทธกล่าวต่อว่า ปัจจุบันคนในสังคมมีความแตกต่างทางความคิด คือพรรคเพื่อไทยเชื่อประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมคลาสสิก ที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในการเลือกตั้ง ทุกคนคิดอย่างดี การใช้สิทธิ ทำให้เชื่อว่าเมื่อเลือกตั้งแล้วทุกอย่างจะดีหมด เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ ที่ก่อนหน้านี้ยึดถือความคิดดังกล่าว จึงทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของสภา ที่จะออกกฎหมายอะไรก็ได้ หลักศีลธรรมสำคัญน้อยกว่าหลักความเท่าเทียมกัน แต่ปัจจุบันก็ยอมให้อำนาจตุลาการเข้ามาตรวจสอบได้ แต่พรรคเพื่อไทยยังไม่ยินยอม จึงเชื่อว่าสามารถออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยได้ ผู้อำนวยการสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ขณะที่กลุ่ม กปปส.มองปัญหาได้ลึกกว่าพรรคเพื่อไทย โดยแยกชีวิตและการเมืองออกเป็น 2 ระดับ คือ กลไกการเมือง เช่นการเลือกตั้งเพื่อให้มีรัฐบาลและระดับแก่น ซึ่งเป็นชีวิตและจิตวิญญาณของการเมือง คือตัวประชาชนรวมกับประเทศที่มองว่าหากรัฐหรือประชาคมทำงานได้ดีก็จะค้ำประกันชีวิตและทรัพย์สิน แต่ถ้ารัฐพังทลาย ปัญหาร้ายแรงก็จะตามมา พวกเขาจึงต้องปฏิรูปในตัวโครงสร้างรัฐ เพื่อรักษาทรัพย์สิน ชีวิต ตัวเองและลูกหลานให้พ้นจากภัยคุกคามของการคอร์รัปชัน นายธีรยุทธพูดถึงเรื่อง 1 คน 1 หรือ “Respect My Vote” เสียง ว่าเป็นสิ่งที่ละเมิดไม่ได้ แต่หากรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมามีการโกงกินก็ย่อมถูกล้มล้างได้ ผู้ที่คัดค้านการเลือกตั้งโดยโหวตโน หรือไม่ไปลงคะแนนเสียง ก็ถือเป็นสิทธิ แต่ถ้าไปขัดขวางการเลือกตั้ง ก็ต้องยอมรับว่าทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย และอยากถามกลับคนที่ออกมาเรียกร้องให้คนอื่นเคารพสิทธิของตัวเอง ว่าคนเหล่านี้เคารพสิทธิของตัวเขาเองหรือไม่ “เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้สิทธิของคนเหล่านี้ในการบงการรัฐบาลอย่างเปิดเผย รวมทั้งมีการนำไปสู่การคอร์รัปชัน แต่ก็ไม่เคย มีใครออกมาเรียกร้องแต่อย่างใด และการชุมนุมในครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ประชาชนออกมาพูดถึงการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เห็นได้ว่าคนไทยเข้าใจเรื่องสิทธิของตัวเองมากขึ้น” นายธีรยุทธ กล่าว นักวิชาการผู้นี้วิเคราะห์ในประเด็น “วิกฤติการเมืองของไทยจะจบอย่างไร จะกลายเป็นสันติภิวัฒน์ หรือจะก้าวสู่ระบอบทักษิณโดยสมบูรณ์นั้น” ว่าการแก้วิกฤติโดยวิเคราะห์ผ่านการตระหนักอำนาจสูงสุดของประชาชน ซึ่งหากปัญหาทางการเมืองขณะนี้โดยเฉพาะการอารยะขัดขืนทวงคืนอำนาจอธิปไตย หรือที่เรียกว่า “สันติภิวัฒน์” หากประชาชนพ่ายแพ้ อาจทำให้เสียสิทธิต่างๆ ของการเป็นพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ กลายเป็นชีวิตเปล่าๆ ที่รัฐหรือเสียงส่วนใหญ่จะสามารถจำคุกหรือประหารชีวิตก็ได้ เขากล่าวว่า การปฏิวัติแบบใหม่คือ “สันติภิวัฒน์” ที่เกือบทุกสาขาอาชีพในประเทศขณะนี้ เช่น กรรมกร ภาคเอกชน ข้าราชการ ทหาร นักวิชาการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ หากมีนโยบายดีๆ จนเป็นฉันทามติหรือประชามติกดดันให้เกิดการแก้กฎหมายเปลี่ยนโครงสร้าง ทำลายห่วงโซ่ปมปัญหา แต่ตนก็ยอมรับว่า การปฏิวัติทุกประเทศในโลก ไม่ใช่เสียงทั้งหมดของประชาชน แต่เป็นเสียงของประชาชนมากที่สุดเท่าที่เป็นได้ “หากทหารออกมารัฐประหาร สถาปนาตัวเอง หรือกลุ่มชนชั้นนำขึ้นเป็นอำนาจอธิปัตย์แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ กรณีนี้มองว่าหากเกิดขึ้นจริง ทั้งสองฝ่าย เสื้อเหลือง และแดง ก็จะออกมากดดันการกระทำนี้” นักวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ชี้ว่าโอกาสที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะชนะมีน้อยมาก เพราะระบอบทักษิณเริ่มเสื่อมลง เพราะการกลับกลอกผิดคำพูดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่กับผู้สนับสนุน อีกทั้งประชานิยมของทักษิณเป็น “ประชาซาเล้ง ซึ่งมี 3 ระดับ ต้นน้ำ คือแกนนำ ได้ประโยชน์หลักจากตัวโครงการต่างๆ กลางน้ำ คือรุ่นลิ่วล้อทักษิณ ขโมยตัดเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง สายไฟ ของโครงการเอาไปขาย ปลายน้ำ คือชาวบ้านรากหญ้า ได้เพียงเศษเหล็กเศษพลาสติกที่เหลือใส่ซาเล้งถีบไปขาย ประเทศจะได้เพียงซากของโครงการ และวิกฤติครั้งนี้ทักษิณต้องอาศัยนักวิชาการ แกนนำเสื้อแดง นปช. ส.ส. อย่างขาดไม่ได้ โครงสร้างอำนาจของเพื่อไทยในอนาคตจะเปลี่ยนไป จำเป็นต้องแบ่งปันอำนาจกับกลุ่มเหล่านี้มากขึ้น ส่วนมวลมหาประชาชน ก็อาจจะไม่ได้รับชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นนำทางเศรษฐกิจของไทย เนื่องจากคนเหล่านั้นไม่มีความกล้าพอที่จะเป็นผู้ริเริ่มการเปลี่ยนแปลงระดับปฏิรูป หรือปฏิวัติด้วยตนเอง นายธีรยุทธเสนอมวลมหาประชาชนคือ 1.มวลมหาประชาชนต้องใช้ความมุ่งมั่นแบบเหนือมนุษย์ ยืนหยัดต่อสู้อย่างสันติต่อไป และขยายผู้สนับสนุนจากชาวบ้าน ชาวรากหญ้าต่างจังหวัดมากขึ้น 2.กลุ่มแกนนำ กปปส. จะต้องประกาศให้ชัดเจนว่าจะไม่มีแกนนำคนใดรับตำแหน่ง หากการปฏิรูปโดยประชาชนสำเร็จเสร็จสิ้น และต้องไม่ขอมีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบโควตาคณะกรรมการ สมัชชา หรือสภาปฏิรูปประชาชน แต่ขอเพียงสิทธิที่จะคอยตรวจสอบเป็นหมาเฝ้าบ้านที่ทรงพลัง เพื่อกันไม่ให้พวกระบบเก่าแฝงเข้ามาทำลายกระบวนการปฏิรูปก็พอ “ยุทธศาสตร์การต่อสู้ของมวลมหาประชาชนอาจเรียกเป็นทฤษฎีมะม่วงหล่น คือการใช้ความอดทนที่ยาวนาน คือรอให้ผลไม้หล่นมาเอง ซึ่งดูเป็นการเรียกร้องที่เกินขีดความสามารถของมนุษย์ แต่หากเกิดขึ้นได้แม้โลกทั้งโลก ก็คงจะประหลาดใจและนับถือความมหัศจรรย์ของมวลมหาประชาชนไทย ทั้งนี้ ผมไม่ใช่ กกปส. แต่ขอสนับสนุน และขอเป็นส่วนหนึ่งใน “สันติภิวัฒน์” ของมวลมหาประชาชนครั้งนี้” นายธีรยุทธ กล่าว (อ่านรายละเอียดหน้า 4) ผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นด้วยกับการเลือกตั้งหรือไม่ นายธีรยุทธกล่าวว่า ตนเคารพการเลือกตั้ง แต่ไม่ขอมีความเห็นโดยตรงเกี่ยวกับการแก้ปัญหาย่อย ที่เกิดขึ้นมาและกลายเป็นเรื่องถกเถียงกัน ตนมีความรู้สึกว่ามันนำเราไปผิดทาง ซึ่งปัญหาตอนนี้คือเรื่องคอร์รัปชันนั้นใหญ่มาก กำแพงศีลธรรมก็พังทลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ตนจึงขอไม่ร่วมถกเถียงว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ หรือจะเลือกหรือไม่เลือกดี ตนไม่ชอบว่าใช้มาตรานั้นมาตรานี้มาแก้ปัญหา เป็นเพียงการหาช่องเล็กน้อยที่จะคลี่คลาย เมื่อถามว่า ปัญหาคอรัปชั่นสามารถจัดการด้วยการเมืองระบบปกติหรือไม่ นายธีรยุทธกล่าวว่า ไม่ได้เพราะตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าระบบเลือกตั้งที่ใช้ประชานิยมแบบที่ผ่านมาแก้รากเหง้าของคอร์รัปชันไม่ได้.

เพื่อนแม้วฮุบพลังงานอ่าวไทย

กลุ่มอาบูดาบี ซี้แม้วเขมือบแหล่งน้ำมันนงเยาว์ในอ่าวไทยกว่า 12.4 ล้านบาร์เรล “มูบาดาลาปิโตรเลียม” ประกาศว่าจ้างบริษัทสร้างแท่นผลิตแล้ว เตรียมขุดเจาะกลางปีหน้า เผยแอบอนุมัติเมื่อสิงหาคม 2556 แถมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังป้อนแหล่งมโนราห์ให้ก่อนหน้านั้น กลายเป็นผู้ได้รับสัมปทานรายใหญ่อันดับ 3 ในไทย ย้อนคำอภิปราย “สรรเสริญ” เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับทักษิณ เว็บไซต์ข่าวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันและข่าวธุรกิจในภูมิภาคตะวันออกกลางหลายแห่ง อาทิ Energy-pedia, Rigzone และ MENAFN ได้รายงานข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการให้สัมปทานพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ในอ่าวไทยแก่บริษัทพลังงาน "มูบาดาลาปิโตรเลียม" จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ที่ร่วมหุ้นกับบริษัท คริสเอ็นเนอร์จี จากสิงคโปร์ ในสัดส่วน 75% และ 25% ตามลำดับ ซึ่งรัฐบาลไทยได้อนุมัติสัมปทานแหล่งนงเยาว์ แปลงจี 11-48 แก่บริษัททั้ง 2 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2556 สื่อต่างๆ ได้อ้างคำแถลงของมูบาดาลาปิโตรเลียมผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของบริษัท เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2557 ว่า บริษัทได้ตกลงมอบสัญญาหลัก การออกแบบ จัดซื้อ ก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการผลิต (อีพีซีไอซี) ในแหล่งนงเยาว์” แปลงจี 11/48 ให้กับบริษัท นิปปอนสตีล แอนด์ สุมิคิน เอ็นจิเนียริง (เอ็นเอสเอสอี) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นปี 2558 การก่อสร้างทั้งหมดจะรวมถึงการสร้างแท่นผลิตและแท่นหลุมผลิต ซึ่งจะมีการเชื่อมต่อแนวท่อไปยังเรือกักเก็บ ในระยะเริ่มต้นจะสามารถทำงานครอบคลุมได้ 23 บ่อ ฐานการขุดเจาะดังกล่าวมีความสามารถที่จะผลิตน้ำมันได้ประมาณ 15,000-30,000 บาร์เรลต่อวัน คาดว่าจะเริ่มต้นขุดเจาะได้ตั้งแต่กลางปี 2558 เป็นต้นไป โดยแหล่งน้ำมันดังกล่าวตั้งอยู่กลางทะเลอ่าวไทยตอนใต้ ห่างฝั่ง 165 กิโลเมตร ทะเลลึก 75 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 6,791 ตารางกิโลเมตร ได้รับการสำรวจพบเมื่อปี 2552 คาดว่าจะมีน้ำมันประมาณ 12.4 ล้านบาร์เรล ใช้เวลาในการขุดเจาะประมาณ 7 ปี โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้รับสัมปทานแหล่งมโนราห์ไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 ข้อมูลของมูบาดาลาปิโตรเลียม ระบุว่า ขณะนี้บริษัทกำลังบริหารทรัพยากร และมีปฏิบัติการขยายไปในหลายประเทศทั่วโลก เน้นหนักไปที่โซนตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อปี 2555 ผลิตน้ำมันได้เฉลี่ย 378,000 บาร์เรลต่อวัน ในส่วนของไทยนั้น บริษัทเข้ามาลงทุนตั้งแต่ปี 2547 ผ่านบริษัทเพิร์ลออยล์ในเครือของตน ปัจจุบันเป็นผู้ได้รับสัมปทานรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประเทศไทย โดยได้รับสัมปทาน 8 ฉบับ รวมถึงแหล่งจัสมิน แปลงบี 5/27 ที่ประสบความสำเร็จดีมาก และขณะนี้ก็กำลังให้ความสนใจสัมปทานอีก 2 ฉบับที่ยังไม่มีการอนุมัติ เว็บไซต์ภาษาไทยของบริษัทระบุตัวเลขการลงทุนด้านปิโตรเลียมในไทยว่ามีมากกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 54,000 ล้านบาท) และบริษัทได้ชำระภาษีและค่าภาคหลวงแก่ไทยแล้วมากกว่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 27,000 ล้านบาท) จากการตรวจสอบพบว่า มูบาดาลาปิโตรเลียมเป็นบริษัทลูกของมูบาดาลา ดีเวลลอปเมนต์ บริษัทลงทุนของรัฐบาลอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีนายคัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค เป็นซีอีโอและกรรมการผู้จัดการบริษัท นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งประธานสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซีตี แห่งสหราชอาณาจักร ต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าทั้งคู่มีความสนิทสนมกัน นอกจากนี้แล้วเขายังนั่งเป็นกรรมการในบอร์ดหลายบริษัท อาทิ ธนาคารเฟิร์สกัลฟ์, อัลดาร์พร็อพเพอร์ตีส์ และเฟอร์รารี เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นสมาชิกสภาผู้บริหารรัฐอาบูดาบี และดำรงตำแหน่งประธานผู้บริหารฝ่ายผู้มีอำนาจ วันเดียวกันนี้ เว็บไชต์ผู้จัดการออนไลน์ได้รายงานข่าวดังกล่าว โดยได้นำคลิปวิดีโอการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของนายสรรเสริญ สมะลาภา อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 มานำเสนอด้วย โดยวันนั้นนายสรรเสริญระบุว่า จากการตรวจสอบข่าวสารในรอบหลายปีที่ผ่านมาพบว่า มีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญ เริ่มตั้งแต่ นายโมฮัมหมัด อัลฟาเอ็ด เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความสนิมสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ก่อตั้งแฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) เพื่อรับสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซ ร่วมกับบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. เมื่อปี 2541 ต่อมาในปี 2547 บริษัท เพิร์ล เอ็นเนอร์ยี่ ซื้อกิจการแฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ และเปลี่ยนชื่อเป็นเพิร์ลออยล์ (ประเทศไทย) จากนั้นในปี 2551 บริษัทลงทุนของรัฐบาลอาบูดาบี ยูเออี ชื่อมูบาดาลา เข้ามาซื้อกิจการของบริษัท เพิร์ล เอ็นเนอร์ยี่ ซึ่งในปีเดียวกันนั้น พล.อ.เตีย บัณห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะลงทุนในธุรกิจพลังงาน และพบอีกว่า บริษัท เพิร์ลออยล์ (ประเทศไทย) ได้ย้ายสำนักงานจากไทยพาณิชย์ปาร์คพลาซ่า ไปอยู่อาคารชินวัตร 3 ในคลิปการอภิปราย ส.ส.กทม.ผู้นี้ได้บอกไว้ว่า บริษัทมูบาดาลามีผู้บริหารระดับสูงชื่อ ชีค โมฮัมหมัด บินซาเยด อัล นาร์ยาน และเป็นพี่ชายของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัลนาห์ยาน ที่เข้าซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ในราคาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ซื้อกิจการมาในราคาเพียง 5 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของ พ.ต.ท.ทักษิณที่มีต่อกลุ่มธุรกิจพลังงาน ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ กับนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ ขัดแย้งกับที่ คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของกลุ่มมูบาดาลาออกมายืนยันล่าสุดว่า บริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย.

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

บทเรียนจากบังกลาเทศ

ตายไปแล้วเป็นสิบ หรือเป็นร้อย ก็ยังไม่เป็นที่สรุปชัดเจน เซ่นสังเวยการเดินหน้าเลือกตั้งที่บังกลาเทศ บางตัวเลขบอกว่า 10-20-30 ราย บางตัวเลขบอกว่าตายไปแล้วกว่า 150 ราย แต่ที่ให้ตัวเลขตรงกันก็คือคูหาเลือกตั้งกว่า 200 แห่ง ถูกบุกเผา ขว้างระเบิด ฉิบหาย วายวอด ไปไม่ต่ำกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ... --------------------------------------------------- นี่แหละ...การปกป้องประชาธิปไตย โดยถือเอา การเลือกตั้ง เป็นยาสารพัดโรค จากที่เคยหวังๆ เอาไว้ว่า ยาชนิดนี้สามารถกินกะได้ ทากะได้ ผัวดม เมียหาย พ่อตาตาย แม่ยายฟื้น แต่สุดท้าย...ความฉิบหาย วายวอด ที่ปรากฏให้เห็นต่อหน้า ต่อตา ต่อสายตาของชาวโลก เป็นตัวพิสูจน์ ยืนยัน และตอกย้ำ ให้เห็นโดยชัดเจนว่า ความเป็นประชาธิปไตย นั้น...มันยังมีอะไรมากไปกว่า การเลือกตั้ง อีกเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าความถูกต้อง เป็นธรรม ที่ถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานกำกับ ดูแล การเลือกตั้งในแต่ละครั้ง ความยินยอม พร้อมใจ ของผู้คนที่มีต่อการเลือกตั้งอย่างชนิดทั่วถึงกันหมด มันถึงจะทำให้การเลือกตั้งนั้นๆ พอจะนำมาใช้เป็นตัวสะท้อนความเป็นประชาธิปไตย ให้ดำเนินไปตามครรลองของมันได้... ------------------------------------------------------- แต่ขณะที่สถานการณ์เลือกตั้งในบังกลาเทศแทบจะแกะกล่อง แกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับประเทศไทย คือถูกต่อต้าน ถูกบอยคอต จากประชาชนและพรรคฝ่ายค้าน อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ การเดินหน้าเลือกตั้งโดยไม่ได้คิดจะสนใจกับเสียงของผู้ที่มีส่วนร่วมกับกระบวนการประชาธิปไตยภายในประเทศตัวเองเอาเลยแม้แต่น้อย ผลลัพธ์...มันจึงต้องออกมาในแนว ประชาธิป...ตาย ไม่ใช่ ประชาธิปไตย อย่างที่เห็นๆ กันไปแล้วนั่นแหละ คือออกไปทางฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย ลูกเดียวเท่านั้นเอง ถึงรัฐบาลจะออกมาป่าวประกาศชัยชนะอันเนื่องมาจากการคว้าเก้าอี้ ส.ส.จำนวน 86 ที่นั่ง จาก 116 ที่นั่งจากการเลือกตั้งคราวนี้ แต่ชัยชนะที่ว่านอกจากจะไม่สามารถนำเอาไป ปกครองประเทศ ได้ ยังกลายเป็นชัยชนะที่มีส่วนทำลาย ความเป็นประชาธิปไตย ในบังกลาเทศ ให้ต้องตกต่ำ พิกลพิการ หนักขึ้นไปอีก... -------------------------------------------------------------- ด้วยเหตุนี้...บรรดานักปกป้องประชาธิปไตย สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย หรือกลุ่ม ลูกกะโป่งสีขาว ในบ้านเราทั้งหลาย ก็พึงเอาหัวแม่ตีนตรองดูให้ดีเถิด ถ้าหาก การเลือกตั้ง เพียงลูกเดียวล้วนๆ มันสามารถทำให้ความเป็นประชาธิปไตยก้าวหน้า พัฒนา ไปได้อย่างเพียบพร้อม สมบูรณ์ ป่านนี้...เราทั้งหลายคงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า กับการ พายเรือในอ่าง วนไป-วนมาอยู่กับความเสื่อมโทรมของประชาธิปไตยมาเกือบ 80-90 ปีเข้าไปแล้ว และมีแต่จะเสื่อมโทรม ทรุดโทรม หนักขึ้นไปกว่านี้ ตราบใดที่เรายังปล่อยให้ การเลือกตั้ง กลายเป็นแค่ เครื่องมือ เป็น กรรมวิธี ที่ เผด็จการทุนสามานย์ สามารถนำมาใช้ควบคุมและกลืนกินประเทศทั้งประเทศได้โดยไม่จำเป็นจะต้องสนใจกับความถูกต้อง เป็นธรรม ศีลธรรมและคุณธรรมใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย... ------------------------------------------------------------------- การเรียกร้องให้ ปฏิรูปประเทศ ก่อนที่จะกลับไปดำเนินกระบวนการเลือกตั้งกันใหม่ จึงเป็นอะไรที่มีเหตุ มีผล มีน้ำหนักมากพอ สำหรับการสร้างบรรยากาศความร่วมมือ ร่วมใจ เพื่อนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ไม่ได้วัดตัดสินกันที่ การเลือกตั้ง เท่านั้น ประชาธิปไตยที่สามารถดำรง รักษา ความมีส่วนร่วม ของประชาชนทุกๆ ฝ่าย ทั้งก่อนหน้าการเลือกตั้ง ระหว่างการเลือกตั้ง และหลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบได้ร่วมกันแค่ประมาณ 4 วินาทีในคูหาเลือกตั้ง หลังจากนั้นต้องทนทรมาน ถูกข่มขืน ถูกลักหลับ ถูกกระทำย่ำยี ต่อไปอีก 4 ปี 8 ปี หรือ 12 ปี เป็นอย่างน้อย ชนิดประเทศทั้งประเทศใกล้พินาศ ฉิบหาย อยู่มะรอมมะร่อ ไม่ว่าในแง่การเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม-วัฒนธรรมก็ตามที... --------------------------------------------------------------------- อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าผู้ต้องการที่จะเห็นความเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย จะไม่ได้มีอากัปกิริยาดุเดือด รุนแรง อย่างที่เห็นๆ กันในบังกลาเทศ แต่ความพยายามดิ้นรนนำเอา การเลือกตั้ง มาใช้เป็นตัวชี้ขาดชัยชนะและความพ่ายแพ้ ระหว่างมวลมหาประชาชนนับล้านๆ กับรัฐบาลที่แทบไม่หลงเหลือสภาพความเป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ นับวันมันยิ่งก่อให้เกิด การสะสมความรุนแรง ปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามอาศัย พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน เข้าบดขยี้ทำลายผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในขั้นตอนสุดท้าย หรืออาศัยกุ๊ยและอันธพาลเข้าเล่นงานฝ่ายตรงกันข้ามในแบบ มวลชนปะทะกับมวลชน ในแต่ละจุด แต่ละพื้นที่ โอกาสที่ บังกลาเทศโมเดล กับ ไทยโมเดล จะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน จึงใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย... -------------------------------------------------------------------- ทั้งนั้นทั้งนี้...จึงต้องขึ้นอยู่กับบรรดาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงทั้งหลาย ที่จะต้องนำเอาบทเรียนของบังกลาเทศมาใช้เป็นอุทาหรณ์สำหรับประเทศไทยซะแต่เนิ่นๆ การปล่อยให้รัฐบาลซึ่งมีบทบาทโดยตรงในการใช้ความรุนแรง ดิ้นรน เถลือกไถล ไปเรื่อยๆ โดยปราศจากคำตอบที่ชัดเจนว่าจะนำพาชาติบ้านเมืองต่อไปได้อย่างไร อันที่จริง...มันคงไม่ต่างอะไรไปจากการสนับสนุนความรุนแรงทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อมนั่นเอง ถ้าไม่ต้องการที่จะเซ่นสังเวยประชาธิปไตยด้วยเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกันเอง มีแต่ต้องร่วมมือ ร่วมใจ หาทาง จบ ทุกสิ่งทุกอย่างลงไปให้ได้ก่อนวันที่ 2 กุมภาพันธ์แต่เพียงเท่านั้น!!!

ความเหมือน-ความต่าง "๕๓ กับ ๕๗"

อู๊ยยยย...จะดัดจริตไปถึงไหนกันจ๊ะแม่คุณ ทำวี้ดว้ายกระตู้วู้ ๑๓ มกรา ประชาธิปไตยมวลมหาประชาชนบานสะพรึ่บพร้อมกัน จะทำให้กรุงเทพฯ ตันไปไหน-มาไหนไม่สะดวกน่ะ... แล้วที่รัฐบาลให้ตู่-เต้นไปเกณฑ์คนเสื้อแดง "ปิดทั้ง ๗๗ จังหวัด" ประชันนั่นล่ะ มันไม่ทำให้ "ตันทั้งประเทศ" ร้ายยิ่งไปกว่าดอกหรือ? มวลมหาประชาชนเป็นคนสำนึกดี ยอมสละสุขตนวันนี้ ทำหน้าที่ขับไล่โจรล้มสถาบัน-ปล้นบ้าน-กินเมือง ล้างเสนียดคนจัญไรให้แผ่นดิน ถางทางสู่อนาคตใหม่ให้ไทยทั้งประเทศ แล้วนางตอแหลกับรัฐมนตรีขี้ข้าระบอบทักษิณ ออกมาข่มขู่เป็นกบฏ ตอหลด-ตอแหลประเทศจะพัง เศรษฐกิจจะทรุด นักท่องเที่ยวจะหนี การค้า-การขาย จะตายหมด ช่างตดทางปาก หน้าไม่อาย ไปตดให้ควายกลางทุ่งดมโน่นไป๊...! จะมาหลอกมหาประชาชนคนไทยที่ตาสว่าง-ตื่นรู้ให้กลัวไม่สำเร็จหรอก เพราะสาธุชนคนดีส่วนใหญ่เขาเข้าใจ เจ็บจากผ่าตัดหนเดียว แล้วโรคหายขาด ดีกว่าอยู่อย่างอมโรค เจ็บปวดทรมานไปจนตาย และที่ว่า "จะตายหมด" นั่นน่ะ ถ้าตายจริง ไม่ใช่ตายเพราะประชาธิปไตยมวลชนบานเต็มตามสี่แยกทั่วกรุง มันตายเพราะประชานิยมถมทะเล กู้มาโกง ๓.๕ แสนล้าน, ๒ ล้านล้าน รับจำนำข้าวทุกเมล็ดเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ซึ่ง "ตายถึงรากประเทศ" ไปแล้วกว่า ๕-๖ แสนล้าน และต้องเข้าใจ มวลมหาประชาชน โดยกำนันสุเทพ "หมอใหญ่" นั้น เป็นหมอเทพ ไม่ใช่หมอมาร ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ขายตัวเอง ไม่ได้ขายชาติ-ขายบ้านเมือง แลกยศ แลกตำแหน่ง แลกความร่ำรวยให้ตัวเอง และที่แน่ๆ ด้วยสันติ-อหิงสา มวลมหาประชาชนใช้สิทธิตามมาตรา ๖๙ และทำหน้าที่ตามมาตรา ๗๐ ของรัฐธรรมนูญ พิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ให้คงอยู่ ไม่ฆ่าตำรวจ-ทหาร ไม่เผาบ้าน-แยกเมือง ไม่ก่อวินาศกรรม ไม่อุ้มพระสยามเทวาธิราชไปให้เขมร...ล้านเปอร์เซ็นต์! และทั้งไม่ตกใจเข้าห้าง กวาดแบรนด์เนมเกลี้ยง เหมือนม็อบเสื้อแดงที่ยิ่งลักษณ์-นางเยาวภา-นายสมชาย เคยไปสุมหัวอยู่ด้วยที่ราชประสงค์ ตอนปี ๕๓! สรุปให้เห็นภาพเปรียบเทียบชัดๆ ระหว่างประชาธิปไตยมวลมหาประชาชนบานทั่วกรุง ๑๓ มกรา ๕๗ กับ นปช.ไพร่ชุมนุม ปิดสี่แยกราชประสงค์ พฤษภา ๕๓ เหมือน "ขาว กับ ดำ"! กำนันสุเทพรู้ มวลมหาประชาชนรู้ คณะ กปปส.รู้ คือรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ว่า "ทำด้วยเจตนาอะไร" ไม่ได้ทำด้วยหวังชั่ว-หวังร้าย ฉะนั้น ในวันที่ ๑๓ มกรา อะไรควร-ไม่ควรแค่ไหนในภาคปฏิบัติ วิญญูชนเข้าใจชัด ว่าเส้นแบ่งแห่งการชุมนุมเฉดหัวยิ่งลักษณ์ กับเส้นแบ่งแห่งวิถีชีวิตประจำวันคนกรุง อยู่ ณ ตรงไหน ที่ต้องบริหารให้สมดุล? ณ ขณะนี้ รัฐบาลหยิบเอาสิ่งยังไม่เกิด มาวาดเป็นภาพในอากาศให้กลัวกันล่วงหน้า ก็เข้าใจหรอกว่า เล่ห์เพทุบายในการศึก เป็นกลวิธีหนึ่งที่แต่ละฝ่ายต้องงัดขึ้นมาใช้ ดังนั้น ก็ขอบอกให้ "มนุษย์โลกสวย" ทั้งหลาย จงสบายใจได้...! วันนั้น ใครอยากไปไหน-มาไหน เมื่อพฤษภา ๕๓ ไปไหน-มาไหนได้อย่างไร ๑๓ มกรา ก็ไปได้-มาได้อย่างนั้น แถมสบายกว่า ปีติในฐานะผู้สร้างว่าเกิดประโยชน์ต่อสังคมชาติกว่า! เกรงแต่ว่า เมื่อเห็นประชาธิปไตยบานสะพรั่งสวยงามตามสี่แยกแล้ว ด้วยเลือดไทยร่วมแผ่นดินเดียวกัน ก็จะเป็น ๑ ช่อประชาธิปไตยในท้องถนนร่วมกับเขาด้วยน่ะซี้!? เมื่อวาน (๖ ม.ค.๕๗) โทษฐานที่ผมตื่นเที่ยง เลยได้เห็น "นายชัยเกษม นิติสิริ" รมว.ยุติธรรม เวียนนั่งแป้น ศอ.รส.งัดกฎหมายขู่กำนันสุเทพ และมวลมหาประชาชนหน้าจอโทรทัศน์ กำนันสุเทพเป็นกบฏ เตือนเชิงขู่ ๑๓ มกรา ใครออกไปร่วมเป็นประชาธิปไตยมหาชนกับกำนันสุเทพ จะพลอยเป็นกบฏ โทษประหารตามไปด้วย! ก็ต้องขอบคุณอดีตอัยการสูงลิ่วเท่าตึกชิน ที่ออกมาเตือนมวลมหาประชาชนผู้ทำหน้าที่ไล่โจรแผ่นดิน พิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ท่านช่วยไปสร้างคุกรอมวลมหาประชาชนที่จะไปติดพร้อมๆ กันซัก ๑๐-๒๐ ล้านคน ไว้ให้พร้อมเถอะ ว่าแต่ว่า ติดคุกกันหมด ๑๐-๒๐ ล้านคน ขอโทษ...แล้วพวกมึง "สมุนโจร" ระบอบทักษิณ จะเอาเงินเดือนที่ไหนแดกล่ะ? ถามว่า ประชาชนร่วมขับไล่รัฐบาลโกงบ้าน-กินเมืองเจอข้อหาร่วมกบฏ แล้วพวกข้าราชการ นักการเมืองที่อสัตย์ชาติ ยอมรับใช้โจรหนีคุก โจรปล้นบ้าน-กินเมืองล่ะ.....? ไปกราบตีนขอตำแหน่งบ้าง ไปให้ประดับยศให้บ้าง ไปเลาะตะเข็บกฎหมายโกงให้บ้าง ไปเป็นรัฐมนตรีร่วมทำงานให้คณะโจรเผาบ้าน-เผาเมืองบ้าง อย่างนี้...ก็ต้องเจอข้อหากบฏ ผิดกฎหมายขั้นร้ายแรง มีอายุความถึง ๒๐ ปีด้วยใช่มั้ย? ซวยกุลุดม้อละทีนี้ มีเงินจากการเป็นบอร์ดก็ไม่ทันได้ใช้ ติดคุกดอแห้งซะก่อนละมึงเอ้ยยยย...! นายชัยเกษมเขาอ่านโพยขู่อีกตอนว่า "......มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการปะทะกับกลุ่มผู้มีความเห็นต่าง หรืออาจปะทะกับกลุ่มผู้ไม่หวังดี ซึ่งจงใจจะสร้างสถานการณ์ ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง" พูดได้คำเดียวว่า...อนาถ! คุณเป็นคณะรัฐบาล ซ้ำมาทำหน้าที่ใน ศอ.รส.มีกฎหมายพิเศษใช้ เพื่อทำหน้าที่ป้องกันเหตุร้าย เสริมสร้างความสงบให้บ้านเมือง และให้ความปลอดภัยประชาชน แล้วคุณยก "ความเสี่ยงสูง" ที่จะเกิดปะทะมาพูดได้อย่างไร? ด้วยอำนาจเต็มมือ ถ้ารู้ว่ากลุ่มไหนเป็นผู้ไม่หวังดี มีความเห็นต่าง จงใจสร้างสถานการณ์ด้วยเจตนาปะทะกับมวลมหาประชาชน ก็ไปจัดการซะซี อย่าให้มันมาสร้างสถานการณ์! ผมจะเตือนความจำให้ ตั้งแต่กำนันสุเทพจัดชุมนุมไล่โจรประเทศที่สามเสน จนย้ายมาราชดำเนิน นี่ก็เข้าเดือนที่ ๓ แล้ว ไม่ปรากฏเลยว่า มวลมหาประชาชนจะไปไล่ทุบ ไล่ตี ไล่ยิง ไล่ปะทะ ไปทำอะไรก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ทั้งกับชีวิตและทรัพย์สินคนอื่นเลย ตรงกันข้าม สิ่งที่คนทั้งโลกประจักษ์ เห็นตำรวจ เห็นชายชุดดำในกลุ่มตำรวจ เห็น นปช.เสื้อแดง เห็นขบวนการระบอบทักษิณ เห็นกองกำลัง (ไม่) ทราบสัญชาติ ไล่ทุบ ไล่ตี ไล่ยิง ไล่ปาแก๊สน้ำตา ไล่ล่ามวลมหาประชาชนและกำนันสุเทพ นิติธร และกระทั่งสันติ-อหิงสาอย่างกองทัพธรรม ก็ยังไม่วายเจอระเบิด! สรุปชัดก็คือ มวลมหาประชาชน เป็นสุจริตชนสร้างเมือง ไม่ทำร้ายใคร ไม่ทำลายบ้านเมือง และชัดๆ... ฝ่ายทำร้ายใคร ฝ่ายทำลายบ้านเมือง ฝ่ายไม่หวังดี ฝ่ายจงใจสร้างสถานการณ์ ก็อยู่ในฝ่ายรัฐบาล ฝ่าย ศอ.รส.นั่นแหละ! ถ้าชัยเกษม หรือคณะรัฐบาล หวังดีต่อสถานการณ์บ้านเมือง ก็มี ๒ วิธีให้เลือกทำ ๑.อย่าให้ตำรวจ-นปช.-กองกำลังไม่ทราบฝ่ายสร้างสถานการณ์ และมาปะทะ ด้วยเจตนาทำร้ายมวลมหาประชาชน และ ๒.บอกปู ให้รีบหนีไป ก่อนตาย "คากระดอง"!.

2557 Count Down "ระบอบทักษิณ"

2557 Count Down "ระบอบทักษิณ" เดือนในปฏิทินวนรอบ มกราคมเป็นจุดนับหนึ่งแห่งเดือนใหม่ วันยังคงเดิม มีอีก 365 วันให้เผชิญ เปลี่ยนแต่เลข พ.ศ.2557 ก้าวสู่ปีใหม่อีกปี แต่สำหรับสถานการณ์การเมือง คงเป็นอีกปีใน ‘สงครามตัวแทน’ ยังต้องดำเนินการต่อพร้อมกับเพิ่มดีกรีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตามพลวัตของโลก ทุกสิ่งอย่างเมื่อเริ่มแล้วย่อมมีจบ ไม่มีใครจะนิจนิรันดร์ได้ตลอดกาล ยิ่งเป็นพวกนิยมในโลกโลกีย์ อำนาจ บารมี เงินตรา สร้างอกุศกรรม ก่ออนันตริยกรรมไว้มาก คงจะหลีกหนีหลัก ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป’ ไม่พ้น คงจะหลีกหนีความจริงข้อนี้ไม่พ้น ไม่ว่าคนคนนั้นจะรวยล้นฟ้า อำนาจ บารมี เงินตรา พวกพ้อง ข้าทาสบริวาร ยังเลือกที่จะสะกดคำว่า ‘พอ’ ไม่เป็น ยังดิ้นรน ทุรนทุราย สู้ หวังการใหญ่ คงอีกไม่นาน อีกไม่นาน อีกไม่นาน…จริงๆ นับตั้งแต่ระบอบทักษิณ โดยทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองและแทบทุกบริบทในสังคม ประชาธิปไตยถูกใช้เป็นเพียงวาทกรรม เครื่องบังหน้ากระบวนการได้มาซึ่งอำนาจ ประชาชนมีสิทธิ์เต็มขั้น ตอนลงคะแนนเสียงเพียง 4 วินาทีเท่านั้น เมื่อการเมืองได้อำนาจก็ใช้อำนาจนั้นไปในทางที่ปรารถนาโดยไม่ฟังเสียงท้วงติง ทั้งในหรือนอกสภาฯ ผูกขาดรวมศูนย์ ใช้หลากหลายวิธีให้ได้มาซึ่งเสียงข้างมาก เจรจาที่พร้อมใจ หรือเสนอเงื่อนไขอันปฏิเสธไม่ได้ ทำลายระบบ ระบอบโครงสร้างเดิมแทบหมดสิ้น องค์กรอิสระหลายแห่งถูกใช้เป็นเครื่องมือการเมืองเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ประเพณีปฏิบัติในหมู่ราชการถูกทำลายสิ้น ระบบอาวุโสถูกยกเลิก ระบบพวกพ้องทำงานสนองนายเข้ามาแทนที่ ตำรวจก็ถูกมองเป็นเครื่องมือชั้นดีให้นักการเมืองฝ่ายรัฐ ใครสนองงาน ทำได้ตามเป้า สนองงานการเมืองได้ดี โอกาสเจริญก้าวหน้าทางการงานในระบอบทักษิณก็มีสูง นโยบายประชานิยม ให้ปลาแทนให้เบ็ดประชาชน หลายโครงการเป็นการมอมเมาประชาชน ให้เสพติดค่านิยมแห่งความเคยชิน แต่ไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ในระยะยาว ซ้ำยังสร้างหนี้ผูกภาระให้ประเทศนับไม่ถ้วน นโยบาย การบริหารงานต่างๆ ถูกตั้งคำถามทั้งในแง่ความโปร่งใส จริยธรรม ศีลธรรม โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้พม่า การขายหุ้นชินคอร์ปอันลือลั่น โดยไม่เสียภาษี เพราะแก้กฎหมายไว้รองรับก่อนหน้า เรื่อยไปถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติด ถูกมองเป็นการฆ่าตัดตอนให้กลุ่มอิทธิพล เจ้าหน้าที่รัฐฉวยโอกาสกำจัดศัตรูทางการเมือง ผลประโยชน์ทั้งด้านธุรกิจมักถูกจัดสรรให้เฉพาะพรรคพวก ญาติมิตร เพื่อนฝูงตัวเอง เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนทางนโยบาย สร้างความเสียหายให้ประเทศ แม้เกิดช่วงสะดุดแห่งอำนาจ รัฐประหาร 19 กันยา 2549 แต่คนที่เข้ามาสานต่ออำนาจหลังจากรัฐบาลขิงแก่ ก็ยังวนเวียนในสารบบเดิมๆ นอมินี สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งแนวทาง แนวคิด นโยบาย ก็ยังสานต่อ ยังคงรูปแบบเดิมไม่ต่างจากสมัยพี่ชายครองอำนาจ และหนักขึ้นทุกวัน เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท โครงการพัฒนาระบบน้ำ 3.5 แสนล้าน รับจำนำข้าวกับตัวเลขปริศนา 6 แสนล้าน นิรโทษกรรมสุดซอย ฟอกผิดตัวเอง ล้วนเป็นเครื่องหมายคำถามทั้งในแง่ความโปร่งใส ความชอบธรรม ระบอบทักษิณยังคงเกาะลึก กลืนกินไปแทบทุกองคาพยพในสังคม กำจัดไม่หมดไม่สิ้น!! มวลมหาประชาชนที่ทนต่อพฤติกรรมสามานย์มาตั้งแต่ปี 2544 หมดความอดทน ม็อบประชาชนเคยออกมาขับไล่หลายครั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) สามารถขับไล่ทักษิณออกนอกประเทศได้ แต่ยังไม่สามารถถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณให้สิ้นซาก มวลมหาประชาชนในนามคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เข้ามารับไม้ต่อ การเคลื่อนไหวของประชาชน มวลชนปฏิวัติ พลันให้นึกถึง ‘อาหรับสปริง’ อาหรับสปริงที่ก่อตัวมาตั้งแต่ปี 2553 ‘ตูนิเซีย’ ประชาชนไม่ทนต่อการกดขี่ เอาเปรียบ พร้อมใจกันลุกฮือขับไล่ ซีน เอล อาบิดิน เบน อาลี ประธานาธิบดีตลอดกาล จนลงเก้าอี้ จากนั้นเริ่มลุกลามไปยังหลายประเทศในโลกอาหรับ ประชาชนอียิปต์พร้อมใจลุกฮือขับไล่ ‘ฮอสนี มูบารัก’ ประธานาธิบดีอียิปต์ ที่สุดท้ายก็ต้านพลังประชาชนไม่ไหว ต้องยอมลาออกจากตำแหน่ง ตามติดมาด้วย พ.อ.มุอัมมาร์ กัดดาฟี ประธานาธิบดีลิเบีย ผู้นำอันโด่งดัง ครองตำแหน่งแบบผูกขาด สร้างบาดแผลให้เพื่อนร่วมชาติทางการกระทำมาช้านาน ยังหนีไม่พ้นปรากฏการณ์ประชาชนลุกฮือโค่นล้ม กระทั่งจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เช่นเดียวกับ ‘อาลี อับดุลลาห์’ ประธานาธิบดีเยเมน ต้องยอมลงจากอำนาจ สละอำนาจให้รองประธานาธิบดี แลกกับการไม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ‘อาหรับสปริง โมเดล’ ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศพร้อมใจกันลุกฮือต่อต้าน ‘ผู้นำ’ ที่ผูกขาดในอำนาจ ทุจริตคอร์รัปชัน เอาเปรียบ กดขี่ประชาชนมาช้านาน เทคนิคในการเคลื่อนไหวอาหรับสปริงก็มีหลายรูปแบบ ทั้งการชุมนุมประท้วงตามท้องถนน สถานที่สำคัญหลายแห่ง การเดินขบวน การนัดหยุดงานควบคู่กับการแจ้งข่าวสาร เชิญคนมาประท้วง ประจานความชั่วร้ายของผู้นำผ่าน โซเชียลมีเดีย ชักชวน รณรงค์ ก่อให้เกิดแนวร่วมแผ่ขยายเป็นจำนวนมาก จากปรากฏการณ์ประชาชนลุกฮือในโมเดลอาหรับสปริงจะเห็นได้ว่า ไม่มีผู้นำสักรายรอดเงื้อมมือประชาชนไปได้เลย จุดจบแต่ละคน เบาสุดก็ลงจากตำแหน่ง เลวร้ายสุดที่นอกจากแผ่นดินตัวเองก็ไม่ได้อยู่แล้ว ซ้ำชีวิตก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ จะเห็นได้ว่า จุดจบผู้นำสามานย์แต่ละคน ยามประชาชนนับล้านลุกฮือกันมาขับไล่ จบไม่เคยสวยสักคน บางคนดีที่สละเพียงตำแหน่ง หมดอำนาจ แต่ยังเหลือเครือญาติ บางคนโชคร้าย อำนาจ ทรัพย์สินที่สร้างมาไม่เพียงรักษาไม่ได้ ชีวิตตัวเองก็ยังรักษาไม่รอด หลายคนพยายามเสนอทางออกให้ทักษิณ ทั้งการยอมรับกระบวนการยุติธรรม กลับมาสู้คดีติดคุก เหมือนเอกบุรุษโลก เนลสัน แมนเดลลา ผู้นำผิวสี กลับประเทศถูกจองจำกว่า 20 ปี แสดงสัญลักษณ์ให้ฝ่ายสนับสนุนได้เห็น สู้กับความอยุติธรรมจนได้ความเป็นธรรม ในที่สุดก็ได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีแห่งแอฟริกาใต้ แต่ทางสว่างกลับไม่เลือกเดิน ทักษิณกดปุ่มให้ยิ่งลักษณ์เดิน นับวันยิ่งถูกบีบให้ไปสู่ทางตัน การเปิดหน้าสู้แลกหมัด แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน พร้อมเผชิญหน้าทุกรูปแบบ ปากก็บอกอยากให้มีการเลือกตั้ง 2 ก.พ. แต่อีกด้านก็ปล่อยให้สมุนกล่าวโทษ กกต.ข่มขู่ให้จัดเลือกตั้งให้ได้ หวังใช้เป็นบันไดประทับตราแห่งความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ในวันที่ตัวช่วยทางการเมืองเริ่มไม่เหลือ ทั้งตำรวจ ข้าราชการที่พอจะใช้เป็นเครื่องไม้เครื่องมือได้เริ่มเกียร์ว่าง ล่าสุด ยิ่งลักษณ์ประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง หวังให้ทหารออกมาช่วยตำรวจในการควบคุมสถานการณ์ชัตดาวน์ กทม. วันที่ 13 ม.ค. แนวคิดประกาศเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากขุนพลสีเขียว บิ๊กเนมในกองทัพ ปากบอกเคารพสิทธิ เสรีภาพผู้มาชุมนุม แต่อีกด้านก็ขยิบตาให้สายเหยี่ยวใช้วิธีรุนแรงกับผู้ชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บ ล้มตายไปแล้วหลายราย และยังส่งสัญญาณให้แนวร่วมเสื้อแดงเคลื่อนไหวนอกสภาฯ ปลุกขวัญ ข่มขู่ เตรียมพร้อมนำมาสู่การเผชิญหน้า หวังลากยาวให้เกิดสงครามมวลชน หวังให้กองทัพเปลี่ยนใจมายืนอยู่ข้างประชาชน สถานการณ์เข้าตาจน ทำให้ "ระบอบทักษิณ" ต้องดิ้นสู้ทุกหนทาง ไม่เพียงต้องการรักษาอำนาจ เพราะในกลเกมนี้ พวกเหล่าขุนศึกรู้ดี หากแพ้นอกจากจะไม่มีที่ยืนทางการเมืองแล้วยังจะถูกเช็กบิลย้อนหลังในอีกหลายๆ เรื่อง จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกดปุ่มเดินหน้าสั่งการให้ทุกองคาพยพระบอบทักษิณสู้ไม่ถอย แต่ยิ่งสู้ยิ่งเป็นการบีบคั้นให้ฝ่ายมวลมหาประชาชนเพิ่มมาตรการ ยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ประวัติศาสตร์จารึกแล้ว ยามประชาชนออกมานับล้านพร้อมใจขับไล่ ไม่มีวันที่ระบอบสามานย์จะยืนหยัดได้ตลอดรอดฝั่ง 2557 คงเป็นปีสุดท้ายแห่งการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่เพียงขจัดขับไล่เชื้อชั่วแห่งความชั่วร้าย ยังต้องถอนรากถอนโคนให้หมดสิ้น!!!.